จากโอวาทพระมงคลเทพมุนี กัณฑ์ที่ ๑๐ เรื่อง ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก
เมื่อรู้ชัดดังนี้ วิธีจะละขันธ์ ๕ ถอดขันธ์ ๕ ทิ้ง วิธีจะถอดสละขันธ์ ๕
วางขันธ์ ๕ นั้น ต้องเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวรกถา ที่จะตั้งอยู่ในสังวรกถาได้ ต้อง
อาศัยมีความรู้ความเห็นแยบคาย
เห็นแยบคายอย่างไร? รู้เห็นแยบคาย ความยินดีในรูปในอารมณ์
นั้น ๆ ต้องปล่อยวาง ต้องละต้องทิ้งความยินดี ในอารมณ์นั้น ๆ ถ้ายังยึดความ
ยินดีในอารมณ์อยู่ปล่อยขันธ์ ๕ ไม่ได้ การยึดอารมณ์ยินดีในอารมณ์ท่านยก
เป็นตำรับตำราไว้ เป็นเนติแบบแผน เป็นภาษามคธว่า
สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตญฺญุง กุสีตํ หีนวีริยํ
ตํ เว ปสหติ มาโรวาโต รุกฺขํ ว ทุพฺพลํ
แปลเป็นสยามภาษาว่า ผู้ที่เห็นอารมณ์งาม สุภานุปสฺสึ ผู้ที่เห็น
อารมณ์งาม รูปารมณ์ก็ดี สัทธารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์
ผู้เห็นอารมณ์งาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั่นแหละเรียกว่า
สุภานุปสฺสึ ผู้เห็นอารมณ์งามอยู่ ไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จัก
ประมาณในการบริโภคอาหาร มีความเกียจคร้าน
กุสีตํ จมอยู่ในอาการอันบัณฑิตพึงเกลียด
หีนวิริ ยํ มีความเพียรเลวทราม
ตํ เว ปสหติ มาโร มารย่อมประหารบุคคลผู้นั้นได้
วาโต รุกขํ ว ทุพฺพลํ เหมือนลมประหารต้นไม้ อันมีกำลังทุพพลภาพ
ได้ฉันนั้น นี้พระคาถาต้น
คาถาสองรองลงไป
อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทริเยสุ สํวุตํ
โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญุง สทฺธํ อารทฺธวิริยํ
ตํ เว นปฺปสหติ มาโรวาโต เสลํ ว ปพฺพตํ
ผู้ที่เห็นอารมณ์อันไม่งาม สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภคอาหารหรือโภชนาหาร มีความเชื่อ ปรารภความเพียรอยู่ มารย่อมประหารบุคคลผู้นั้นไม่ได้ เหมือนดั่งลมประหารภูเขาอันล้วนแล้วด้วยศิลาอันเขยื้อนไม่ได้ ฉันนั้น