
Sign up to save your podcasts
Or


บันทึกชีวิตในไต้หวัน สัปดาห์ยังอยู่อยู่กับ ดร.จิระศักดิ์ รักการ ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.เหวินจ่าว ที่จะมาเล่าเรื่องราวชีวิตในไต้หวัน โดยเฉพาะนครเกาสง ซึ่งเป็นเมืองที่ ดร.พุฒพำนักอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี เมืองนี้มีดีอะไร มีเสน่ห์ตรงไหน ทำไมถึงทำให้ ดร.พุฒหลงรักได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ ดร.พุฒจะมาแบ่งปันมุมมองและความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายต่างๆของไต้หวัน ไปทำความรู้จักกับไต้หวันให้มากขึ้น ผ่านมุมมองของ ดร.ท่านนี้กันเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่
เสน่ห์ของนครเกาสง เมืองที่ ดร.พุฒอยู่มานานถึง 10 ปี
หากถามว่านครเกาสงมีดีอะไร ต้องย้อนความก่อนว่า ตอนอยู่ไทย เราอยู่ต่างจังหวัด เราชอบชีวิตที่สบายๆ ชิวๆ เมื่อเราเคยย้ายมาอยู่กรุงเทพ เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบ พอต้องย้ายประเทศมาอยู่ไต้หวัน นครเกาสงจึงถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์ของเรา นครเกาสงเป็นเมืองที่เจริญ แต่มันก็ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีความวุ่นวาย ดังนั้นการใช้ชีวิตในเกาสง มันก็เหมือนกับการที่เราใช้ชีวิตในต่างจังหวัดของประเทศไทย เมืองมันไม่ได้เร่งรีบ ค่าใช้จ่ายค่าครองชีพก็ยังถูกอยู่
อย่างที่ 2 ที่ชอบเลยก็คือผู้คน รู้สึกว่าผู้คนเขาก็ใจดี เขาพร้อมให้การช่วยเหลือเมื่อเราถามคำถาม หรือเราต้องการความช่วยเหลือจากเขา อย่างที่ 3 คือเรื่องของความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ความสะดวกสบายในที่นี้หมายถึงเรื่องของการคมนาคม การขนส่งมีความสะดวกสบายมาก รถเมล์มีหลายสาย ตรงต่อเวลา มี MRT มีรถราง มันตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเรา มันสะดวกสบาย แต่ในความสะดวกสบายมันไม่มีความเร่งรีบหรือความวุ่นวาย
อย่างที่ 4 สิ่งที่เราชอบคือที่นี่เป็นเมืองที่มีแม่น้ำ มีภูเขา แล้วก็มีทะเล เพราะฉะนั้นมันเปลี่ยนบรรยากาศ มันเปลี่ยนความรู้สึกของเรา เวลาเราไปเที่ยว บางทีเราไปเที่ยวทะเล เราเบื่อทะเลแล้ว เราไปเที่ยวภูเขา เราไปปีนเขา เราเบื่อภูเขาแล้ว เราไปเดินริมแม่น้ำ มันเปลี่ยนโหมด เปลี่ยนมู้ด เปลี่ยนความรู้สึก เราชอบความชิวๆความหลากหลายของเกาสง
ในช่วง 10 ปีเกาสงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ต้องบอกเลยว่าเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ทั้งความเจริญ ตึกรามบ้านช่อง การพัฒนา ผู้คน ร้านอาหาร เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย ช่วง 10 ปีที่แล้วตอนที่เรามา เรารู้สึกว่าเกาสงก็มีตึกเยอะนะ แต่ทำไมตึกมันเก่าๆ มันรู้สึกล้าสมัย ไม่โมเดิร์น เรารู้สึกว่าเกาสงน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ 3 ปีผ่านไป 5 ปีผ่านไป เกาสงที่ ณ ตอนนั้นมีแต่การก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่องเหล่านั้นมันเริ่มถูกสร้างเสร็จ มันมีความสวยงาม มันมีความโมเดิร์นขึ้น ท่าเรือมีการสร้างใหม่ ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์ดนตรีมีการสร้างใหม่ Museum มีการสร้างใหม่ ทุกอย่างมันเสร็จพร้อมๆกัน ก็ทำให้เกาสงมันเป็นเมืองที่มีความโมเดิร์นขึ้น มีการพัฒนาขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เราเห็นได้ชัดก็คือเมือง ความสวยงามของตึกรามบ้านช่องความทันสมัยของเมือง
อย่างที่ 2 คือเรื่องการคมนาคม ตอนแรกตอนที่มาเกาสง ที่นี่มีแค่ MRTกับรถเมล์ ซึ่ง MRT ก็ไม่ได้ยาวมาก มีแค่สองสายและมีไม่กี่สถานี จะไปไหนก็อาจต้องนั่งรถเมล์ หรือนั่งแท็กซี่ต่อไปอีกทอด แต่ ณ ตอนนี้มีการสร้างรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) ที่มันวนรอบเมือง ดังนั้น มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เรามี MRT 2 สายกับ LRT 1 สาย รวมเป็นสามสาย ที่มันสามารถครอบคลุม 60 ถึง 70% ของเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการขยายสถานีการคมนาคมที่เพิ่มขึ้น
อย่างที่ 3 การพัฒนาของสวนสาธารณะ เมื่อก่อนเมื่อผ่านสวนสาธารณะริมอ้ายเหอ หรือ Central Park เรารู้สึกว่ามันก็ธรรมดา มันไม่ได้ไปถึงแล้วว้าวอะไร แต่ช่วงหลังๆ รู้สึกว่าเขามีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ เราไปดูสวนสาธารณะริมอ้ายเหอ สวนสาธารณะ Central Park หรือสวนสาธารณะ อื่นๆ ในเกาสงเขามีการปรับปรุงใหม่ ก็รู้สึกว่ามันมีความสวยงาม มีความร่มรื่น ดึงดูดให้ผู้คนไปพักผ่อน ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่ารัฐบาลท้องถิ่นเขาใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ นอกจากความต้องการของคนในพื้นที่เองแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือนโยบายของผู้นำ ถ้าเรามีผู้นำดี มีนโยบายที่ดี การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่กุมอำนาจทุกอย่าง เขาเป็นคนที่สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง หากจะบอกว่าปัจจัยอะไรสำคัญ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดว่านโยบายของผู้นำ
นโยบายการศึกษาของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ถ้าถามถึงความสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ไม่ว่าจะจะเป็นในเรื่องของภาษาหรือวัฒนธรรม รู้สึกว่ามันเป็นนโยบายที่ดีมาก อย่างแรก มันคือการเปลี่ยนแปลงมุมมองของคนไต้หวันเกี่ยวกับ Southeast Asia เอเชียตะวันออกเชียงใต้ไม่ได้มีดีแค่การเป็นแรงงานให้กับคนไต้หวัน แต่เรายังมีวัฒนธรรม มีอาหาร มีผู้คน เรามีอะไรอีกเยอะแยะมากมายในด้านดีๆ ซึ่งมันเป็นการที่ดีมากๆ ถ้าเราได้นำสิ่งนี้ไปเผยแพร่ให้คนไต้หวันได้รับรู้
อย่างที่สอง เป็นการเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้คนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มีการนำเสนอ เผยแพร่วัฒนธรรมของตัวเอง หรืออาจจะเป็นเวทีให้คนในชาติเดียวกันมาพบปะสังสรรค์กันด้วย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญด้วยการให้งบประมาณ เราจะเห็นว่าหลายหลายโรงเรียน ทั้งโรงเรียนประถมโรงเรียนมัธยม เริ่มมีการเปิดสอนภาษาเกี่ยวกับ Southeast Asia มากขึ้น และมีการเปิดโอกาสให้ครูจากเอเชียตะวันออกเชียงใต้ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เข้าไปเป็นครูอาจารย์รูในการสอนภาษาและวัฒนธรรมเหล่านั้น
อย่างที่สอง หลายปีที่ผ่านมา มีกิจกรรม มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ อย่างเช่น ตลาดอาหารเกี่ยวกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ตลาดเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการแสดงของผู้คนที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกิจกรรมการแข่งขันกีฬาจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบางทีกลุ่มพี่น้องแรงงาน เขามีความเหน็ดเหนื่อย มีความเครียดจากการทำงาน เพราะฉะนั้นการที่เรามีเวที มีกิจกรรมเหล่านี้ ให้เขาเหล่านี้ไดเมาอยู่ด้วยกัน ได้มาผ่อนคลาย ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก มันช่วยลดความเครียดจากการทำงาน และลดระดับความคิดถึงบ้านได้ด้วยเหมือนกัน เราได้เจอคนจากประเทศเดียวกัน เราได้เล่นกีฬาที่เราเคยเล่น เราได้กินอาหารที่เราชอบ ช่วยคลายเครียดและทำให้เราหายคิดถึงบ้านได้เหมือนกัน
มุมมองที่มีต่อนโยบายแรงงานต่างชาติในไต้หวัน
ในความเห็นส่วนตัว เรารู้สึกว่า มุมมองของรัฐบาลที่มีต่อนโยบายแรงงานต่างชาติ เขามองแรงงานต่างชาติเป็นคน เขาไม่ได้มองแรงงานต่างชาติเป็นเครื่องจักรที่มาช่วยในการหมุนเวียนเศรษฐกิจ มาช่วยในการประกอบธุรกิจของเขา ซึ่งการที่เขามองแรงงานต่างชาติเป็นคน จะเห็นได้จากรัฐบาลต้องการที่จะปกป้องแรงงานต่างชาติเหมือนคน หนึ่งคือเรื่องของหลักประกันสุขภาพ บัตรประกันสุขภาพ ซึ่งมันช่วยได้เยอะมาก ถ้าเกิดมีการเจ็บป่วยในไต้หวัน มันมีความสะดวกมาก สะดวกทั้งในเรื่องของการไปหาหมอ สะดวกทั้งในเรื่องของการใช้จ่าย
อย่างที่สอง คือในเรื่องของการมีความเป็นธรรมด้านค่าจ้าง มันมีการปรับขึ้นทุกปี ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ที่ไต้หวันจะมีการปรึกษาหารือ พูดคุยจากทั้งสามฝ่าย ได้แก่ ฝั่งรัฐบาล ตัวแทนนายจ้างและตัวแทนของลูกจ้างจนได้ข้อสรุป ที่จะต้องมีการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้มันสอดคล้องกับค่าของชีพ สอดคล้องกับเงินเฟ้อ เรารู้สึกว่ามันเป็นนโยบายที่เป็นธรรม คุณทำงาน ค่าของชีพคุณสูงขึ้น เพราะฉะนั้นค่าจ้างคุณก็ควรจะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนว่า เมื่อเรามองแรงงานต่างชาติเป็นคน เราก็จะดูแลทั้งในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิตไปพร้อมกัน
หวังรัฐบาลเพิ่มทางเลือกในการทำงานให้แก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่
ในส่วนของพี่น้องแรงงานต่างชาติอาจจะต้องทำงานในโรงงาน ไม่มีทางเลือกในการทำงานมากนัก ส่วนในแง่ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ความรู้สึกส่วนตัว เรารู้สึกว่า คนที่เรารู้จัก ถ้าเขามาแต่งงานกับคนไต้หวัน เขามีทางเลือกไม่เยอะเลย ก็คือการเป็นแม่บ้านหรือเปิดร้านอาหาร เราไม่ได้หมายความว่าการเป็นแม่บ้านหรือการทำงานร้านอาหารเป็นเรื่องที่ผิด เราสามารถสร้างงานสร้างอาชีพกับการทำงานเหล่านี้ได้ แต่รู้สึกว่ามันจะเป็นการดี ถ้ารัฐบาลเพิ่มทางเลือกให้เขาาเหล่านี้ อย่างตอนนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือรัฐบาลมีนโยบายให้กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไปฝึกอบรมเป็นครูสอนภาษา หากมีสถาบันสอนภาษาที่ไหนเปิดรับสมัคร เขาาก็สามารถนำเอาประกาศนียบัตรที่ผ่านการฝึกอบรมนี้ไปสมัครงานได้ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มช่องทางในการทำมาหากิน
นโยบายในไต้หวันที่ชื่นชอบหรือสิ่งอยากแบ่งปัน
อันดับแรกรู้สึกว่าไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง จึงรู้สึกว่ารัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ผู้คนก็สิทธิ์ของเขา รัฐบาลเคารพสิทธิ์ของเขา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันดีมากๆเลย
อันดับที่สองคือ ความเท่าเทียม ไต้หวันเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านนโยบายสมรสเท่าเทียมของเพศเดียวกัน เรารู้สึกว่ามันดีมากๆเลยที่เขาให้สิทธิ์ทุกคนเท่าๆกัน โดยไม่ได้เลือกเพศใดเพศหนึ่ง 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่ชื่นชอบมาก
ไต้หวันเป็นเกาะแห่งมหาสมบัติ
หากจะให้นิยามไต้หวัน ขอนิยามว่าไต้หวันเป็นเกาะมหาสมบัติ ซึ่งสมบัติในที่นี้ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่เพชรนิลจินดาอะไร สมบัตินี้มันคือโอกาส เมื่อคุณมาถึงเกาะ คุณจะต้องเริ่มขุดมัน ถ้าคุณมาถึงก่อนแล้วคุณอยู่เฉยเฉยคุณจะไม่ได้อะไร แต่ถ้าคุณขุดเจอมัน คุณก็จะประสบความสำเร็จในการอยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้
By เจินเจิน - เจนนรี ตันตารา, อโศก ศรีจันทร์, อัญชัน ทรงพุทธิ์, Rtiบันทึกชีวิตในไต้หวัน สัปดาห์ยังอยู่อยู่กับ ดร.จิระศักดิ์ รักการ ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.เหวินจ่าว ที่จะมาเล่าเรื่องราวชีวิตในไต้หวัน โดยเฉพาะนครเกาสง ซึ่งเป็นเมืองที่ ดร.พุฒพำนักอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี เมืองนี้มีดีอะไร มีเสน่ห์ตรงไหน ทำไมถึงทำให้ ดร.พุฒหลงรักได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ ดร.พุฒจะมาแบ่งปันมุมมองและความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายต่างๆของไต้หวัน ไปทำความรู้จักกับไต้หวันให้มากขึ้น ผ่านมุมมองของ ดร.ท่านนี้กันเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่
เสน่ห์ของนครเกาสง เมืองที่ ดร.พุฒอยู่มานานถึง 10 ปี
หากถามว่านครเกาสงมีดีอะไร ต้องย้อนความก่อนว่า ตอนอยู่ไทย เราอยู่ต่างจังหวัด เราชอบชีวิตที่สบายๆ ชิวๆ เมื่อเราเคยย้ายมาอยู่กรุงเทพ เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบ พอต้องย้ายประเทศมาอยู่ไต้หวัน นครเกาสงจึงถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์ของเรา นครเกาสงเป็นเมืองที่เจริญ แต่มันก็ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีความวุ่นวาย ดังนั้นการใช้ชีวิตในเกาสง มันก็เหมือนกับการที่เราใช้ชีวิตในต่างจังหวัดของประเทศไทย เมืองมันไม่ได้เร่งรีบ ค่าใช้จ่ายค่าครองชีพก็ยังถูกอยู่
อย่างที่ 2 ที่ชอบเลยก็คือผู้คน รู้สึกว่าผู้คนเขาก็ใจดี เขาพร้อมให้การช่วยเหลือเมื่อเราถามคำถาม หรือเราต้องการความช่วยเหลือจากเขา อย่างที่ 3 คือเรื่องของความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ความสะดวกสบายในที่นี้หมายถึงเรื่องของการคมนาคม การขนส่งมีความสะดวกสบายมาก รถเมล์มีหลายสาย ตรงต่อเวลา มี MRT มีรถราง มันตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเรา มันสะดวกสบาย แต่ในความสะดวกสบายมันไม่มีความเร่งรีบหรือความวุ่นวาย
อย่างที่ 4 สิ่งที่เราชอบคือที่นี่เป็นเมืองที่มีแม่น้ำ มีภูเขา แล้วก็มีทะเล เพราะฉะนั้นมันเปลี่ยนบรรยากาศ มันเปลี่ยนความรู้สึกของเรา เวลาเราไปเที่ยว บางทีเราไปเที่ยวทะเล เราเบื่อทะเลแล้ว เราไปเที่ยวภูเขา เราไปปีนเขา เราเบื่อภูเขาแล้ว เราไปเดินริมแม่น้ำ มันเปลี่ยนโหมด เปลี่ยนมู้ด เปลี่ยนความรู้สึก เราชอบความชิวๆความหลากหลายของเกาสง
ในช่วง 10 ปีเกาสงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ต้องบอกเลยว่าเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ทั้งความเจริญ ตึกรามบ้านช่อง การพัฒนา ผู้คน ร้านอาหาร เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย ช่วง 10 ปีที่แล้วตอนที่เรามา เรารู้สึกว่าเกาสงก็มีตึกเยอะนะ แต่ทำไมตึกมันเก่าๆ มันรู้สึกล้าสมัย ไม่โมเดิร์น เรารู้สึกว่าเกาสงน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ 3 ปีผ่านไป 5 ปีผ่านไป เกาสงที่ ณ ตอนนั้นมีแต่การก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่องเหล่านั้นมันเริ่มถูกสร้างเสร็จ มันมีความสวยงาม มันมีความโมเดิร์นขึ้น ท่าเรือมีการสร้างใหม่ ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์ดนตรีมีการสร้างใหม่ Museum มีการสร้างใหม่ ทุกอย่างมันเสร็จพร้อมๆกัน ก็ทำให้เกาสงมันเป็นเมืองที่มีความโมเดิร์นขึ้น มีการพัฒนาขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เราเห็นได้ชัดก็คือเมือง ความสวยงามของตึกรามบ้านช่องความทันสมัยของเมือง
อย่างที่ 2 คือเรื่องการคมนาคม ตอนแรกตอนที่มาเกาสง ที่นี่มีแค่ MRTกับรถเมล์ ซึ่ง MRT ก็ไม่ได้ยาวมาก มีแค่สองสายและมีไม่กี่สถานี จะไปไหนก็อาจต้องนั่งรถเมล์ หรือนั่งแท็กซี่ต่อไปอีกทอด แต่ ณ ตอนนี้มีการสร้างรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) ที่มันวนรอบเมือง ดังนั้น มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เรามี MRT 2 สายกับ LRT 1 สาย รวมเป็นสามสาย ที่มันสามารถครอบคลุม 60 ถึง 70% ของเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการขยายสถานีการคมนาคมที่เพิ่มขึ้น
อย่างที่ 3 การพัฒนาของสวนสาธารณะ เมื่อก่อนเมื่อผ่านสวนสาธารณะริมอ้ายเหอ หรือ Central Park เรารู้สึกว่ามันก็ธรรมดา มันไม่ได้ไปถึงแล้วว้าวอะไร แต่ช่วงหลังๆ รู้สึกว่าเขามีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ เราไปดูสวนสาธารณะริมอ้ายเหอ สวนสาธารณะ Central Park หรือสวนสาธารณะ อื่นๆ ในเกาสงเขามีการปรับปรุงใหม่ ก็รู้สึกว่ามันมีความสวยงาม มีความร่มรื่น ดึงดูดให้ผู้คนไปพักผ่อน ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่ารัฐบาลท้องถิ่นเขาใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ นอกจากความต้องการของคนในพื้นที่เองแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือนโยบายของผู้นำ ถ้าเรามีผู้นำดี มีนโยบายที่ดี การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่กุมอำนาจทุกอย่าง เขาเป็นคนที่สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง หากจะบอกว่าปัจจัยอะไรสำคัญ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดว่านโยบายของผู้นำ
นโยบายการศึกษาของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ถ้าถามถึงความสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ไม่ว่าจะจะเป็นในเรื่องของภาษาหรือวัฒนธรรม รู้สึกว่ามันเป็นนโยบายที่ดีมาก อย่างแรก มันคือการเปลี่ยนแปลงมุมมองของคนไต้หวันเกี่ยวกับ Southeast Asia เอเชียตะวันออกเชียงใต้ไม่ได้มีดีแค่การเป็นแรงงานให้กับคนไต้หวัน แต่เรายังมีวัฒนธรรม มีอาหาร มีผู้คน เรามีอะไรอีกเยอะแยะมากมายในด้านดีๆ ซึ่งมันเป็นการที่ดีมากๆ ถ้าเราได้นำสิ่งนี้ไปเผยแพร่ให้คนไต้หวันได้รับรู้
อย่างที่สอง เป็นการเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้คนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มีการนำเสนอ เผยแพร่วัฒนธรรมของตัวเอง หรืออาจจะเป็นเวทีให้คนในชาติเดียวกันมาพบปะสังสรรค์กันด้วย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญด้วยการให้งบประมาณ เราจะเห็นว่าหลายหลายโรงเรียน ทั้งโรงเรียนประถมโรงเรียนมัธยม เริ่มมีการเปิดสอนภาษาเกี่ยวกับ Southeast Asia มากขึ้น และมีการเปิดโอกาสให้ครูจากเอเชียตะวันออกเชียงใต้ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เข้าไปเป็นครูอาจารย์รูในการสอนภาษาและวัฒนธรรมเหล่านั้น
อย่างที่สอง หลายปีที่ผ่านมา มีกิจกรรม มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ อย่างเช่น ตลาดอาหารเกี่ยวกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ตลาดเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการแสดงของผู้คนที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกิจกรรมการแข่งขันกีฬาจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบางทีกลุ่มพี่น้องแรงงาน เขามีความเหน็ดเหนื่อย มีความเครียดจากการทำงาน เพราะฉะนั้นการที่เรามีเวที มีกิจกรรมเหล่านี้ ให้เขาเหล่านี้ไดเมาอยู่ด้วยกัน ได้มาผ่อนคลาย ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก มันช่วยลดความเครียดจากการทำงาน และลดระดับความคิดถึงบ้านได้ด้วยเหมือนกัน เราได้เจอคนจากประเทศเดียวกัน เราได้เล่นกีฬาที่เราเคยเล่น เราได้กินอาหารที่เราชอบ ช่วยคลายเครียดและทำให้เราหายคิดถึงบ้านได้เหมือนกัน
มุมมองที่มีต่อนโยบายแรงงานต่างชาติในไต้หวัน
ในความเห็นส่วนตัว เรารู้สึกว่า มุมมองของรัฐบาลที่มีต่อนโยบายแรงงานต่างชาติ เขามองแรงงานต่างชาติเป็นคน เขาไม่ได้มองแรงงานต่างชาติเป็นเครื่องจักรที่มาช่วยในการหมุนเวียนเศรษฐกิจ มาช่วยในการประกอบธุรกิจของเขา ซึ่งการที่เขามองแรงงานต่างชาติเป็นคน จะเห็นได้จากรัฐบาลต้องการที่จะปกป้องแรงงานต่างชาติเหมือนคน หนึ่งคือเรื่องของหลักประกันสุขภาพ บัตรประกันสุขภาพ ซึ่งมันช่วยได้เยอะมาก ถ้าเกิดมีการเจ็บป่วยในไต้หวัน มันมีความสะดวกมาก สะดวกทั้งในเรื่องของการไปหาหมอ สะดวกทั้งในเรื่องของการใช้จ่าย
อย่างที่สอง คือในเรื่องของการมีความเป็นธรรมด้านค่าจ้าง มันมีการปรับขึ้นทุกปี ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ที่ไต้หวันจะมีการปรึกษาหารือ พูดคุยจากทั้งสามฝ่าย ได้แก่ ฝั่งรัฐบาล ตัวแทนนายจ้างและตัวแทนของลูกจ้างจนได้ข้อสรุป ที่จะต้องมีการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้มันสอดคล้องกับค่าของชีพ สอดคล้องกับเงินเฟ้อ เรารู้สึกว่ามันเป็นนโยบายที่เป็นธรรม คุณทำงาน ค่าของชีพคุณสูงขึ้น เพราะฉะนั้นค่าจ้างคุณก็ควรจะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนว่า เมื่อเรามองแรงงานต่างชาติเป็นคน เราก็จะดูแลทั้งในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิตไปพร้อมกัน
หวังรัฐบาลเพิ่มทางเลือกในการทำงานให้แก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่
ในส่วนของพี่น้องแรงงานต่างชาติอาจจะต้องทำงานในโรงงาน ไม่มีทางเลือกในการทำงานมากนัก ส่วนในแง่ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ความรู้สึกส่วนตัว เรารู้สึกว่า คนที่เรารู้จัก ถ้าเขามาแต่งงานกับคนไต้หวัน เขามีทางเลือกไม่เยอะเลย ก็คือการเป็นแม่บ้านหรือเปิดร้านอาหาร เราไม่ได้หมายความว่าการเป็นแม่บ้านหรือการทำงานร้านอาหารเป็นเรื่องที่ผิด เราสามารถสร้างงานสร้างอาชีพกับการทำงานเหล่านี้ได้ แต่รู้สึกว่ามันจะเป็นการดี ถ้ารัฐบาลเพิ่มทางเลือกให้เขาาเหล่านี้ อย่างตอนนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือรัฐบาลมีนโยบายให้กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไปฝึกอบรมเป็นครูสอนภาษา หากมีสถาบันสอนภาษาที่ไหนเปิดรับสมัคร เขาาก็สามารถนำเอาประกาศนียบัตรที่ผ่านการฝึกอบรมนี้ไปสมัครงานได้ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มช่องทางในการทำมาหากิน
นโยบายในไต้หวันที่ชื่นชอบหรือสิ่งอยากแบ่งปัน
อันดับแรกรู้สึกว่าไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง จึงรู้สึกว่ารัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ผู้คนก็สิทธิ์ของเขา รัฐบาลเคารพสิทธิ์ของเขา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันดีมากๆเลย
อันดับที่สองคือ ความเท่าเทียม ไต้หวันเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านนโยบายสมรสเท่าเทียมของเพศเดียวกัน เรารู้สึกว่ามันดีมากๆเลยที่เขาให้สิทธิ์ทุกคนเท่าๆกัน โดยไม่ได้เลือกเพศใดเพศหนึ่ง 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่ชื่นชอบมาก
ไต้หวันเป็นเกาะแห่งมหาสมบัติ
หากจะให้นิยามไต้หวัน ขอนิยามว่าไต้หวันเป็นเกาะมหาสมบัติ ซึ่งสมบัติในที่นี้ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่เพชรนิลจินดาอะไร สมบัตินี้มันคือโอกาส เมื่อคุณมาถึงเกาะ คุณจะต้องเริ่มขุดมัน ถ้าคุณมาถึงก่อนแล้วคุณอยู่เฉยเฉยคุณจะไม่ได้อะไร แต่ถ้าคุณขุดเจอมัน คุณก็จะประสบความสำเร็จในการอยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้