
Sign up to save your podcasts
Or


ไม่มีเส้นทางไหนโรยด้วยดอกกุหลาบ บันทึกชีวิตไต้หวันสัปดาห์นี้ พาไปฟังบทสัมภาษณ์ของอาจารย์พุฒ กับเส้นทางชีวิตในไต้หวัน ที่เกือบจะเรียนไม่จบ เพราะในช่วงที่เรียนปี 2 นำเงินที่เดิมทีเก็บไว้เรียนต่อไปทำธุรกิจ แต่ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เเงินหมด ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ในตอนนั้นมีเพียงสองทางเลือกคือสู้ต่อหรือกลับบ้าน แต่อาจารย์พุฒไม่ย่อท้อ เลือกที่จะสู้ต่อ และทำทุกงานที่ทำได้ เพื่อเก็บเงินส่งเสียตัวเองจนเรียนจบ ไต้หวันทำให้อาจารย์พุฒในวัยหนุ่มแข็งแกร่งขึ้น และยืนหยัดด้วยตนเอง จนกลายมาเป็นอาจารย์ในปัจจุบัน อาจารย์พุฒผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากมาได้อย่างไร ไปรับฟังพร้อมกันในรายการเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่
ทำไมถึงเลือกมาเรียนไต้หวัน
ย้อนกลับไป 10 ปี ถามว่าอะไรคือสิ่งที่จุดประกายให้เราเลือกที่จะมาเรียนไต้หวัน ตอนที่เรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีอยู่วิชาหนึ่ง อาจารย์ที่สอนเราเป็นอาจารย์ที่มาจากไต้หวันเรารู้สึกชอบอาจารย์คนนี้มากเรารู้สึกว่าเค้าใจดี สอนรู้เรื่อง และในระหว่างที่เค้าสอน เค้าพยายามพูดถึงไต้หวัน พูดถึงการศึกษาของไต้หวัน พูดถึงมหาวิทยาลัยของไต้หวันในด้านดีดีให้เราฟัง เราก็เลยรู้สึกว่าชอบ และอยากจะมาสัมผัสการเป็นนักเรียนในไต้หวันสักครั้งหนึ่ง อาจเป็นการเรียนภาษา มาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนหรือมาเรียนปริญญา
หลังจากนั้นประมาณเดือนถึงสองเดือน คณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เปิดรับสมัครนักศึกษาแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะมาแลกเปลี่ยนมหาวิทยาลัยในไต้หวัน เรารู้สึกว่าอาจจะเป็นโอกาสของเราที่จะมาเรียนไต้หวัน เราก็เลยสมัคร และในวันสัมภาษณ์เรารู้สึกว่าเราทำได้ดี เพราะเราก็เคยเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จีนมาสองครั้ง เคยไปอเมริกามา เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติดีพอที่น่าจะได้รับการคัดเลือก แต่ผลปรากฏว่าเราไม่ได้ เรารู้สึกเฟลมาก ก็ได้แต่เก็บคำถามและความคับแค้นใจนี้เอาไว้ จนเรียนจบแล้วได้กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคใต้ในฐานะทีเอ
ตอนนั้น เราชอบการสอนมาก แต่จู่จู่มหาลัยก็เปลี่ยนนโยบาย ยกเลิกตำแหน่งนี้ แล้วเอาเราเลื่อนไปอยู่ในอีกตำแหน่งหนึ่งที่ลดทั้งภาระงานทั้งตำแหน่งและลดเงินเดือนด้วย เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ตอนนั้นเพื่อนๆคนอื่นก็ถามว่าทำไมถึงลาออก เราก็บอกว่าจะไปเรียนต่อ เค้าก็ถามว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน ชื่อแรกที่โผล่ขึ้นมาในสมองก็คือไต้หวัน ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้เริ่มหามหาวิทยาลัย เรายังไม่รู้เลยว่าไต้หวันมีมหาลัยไหนดัง ไม่มีความรู้อะไรเลย
พอทุกคนที่นั้นรับรู้ว่าเราจะไปไต้หวันแล้ว เรารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมาศึกษาข้อมูลว่าไต้หวันมีมหาวิทยาลัยอะไร ถ้าจะไปเรียนสาขานี้ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน ถ้าชอบเมืองแบบนี้ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาไต้หวัน คือการพรั่งปากพูดไปว่าฉันจะไปเรียนที่ไต้หวัน อาจจะฟังดูตลก แต่มันก็มีผลมาจนถึง ณ ปัจจุบัน ที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ
สู้ต่อหรือกลับบ้าน กว่าจะเดินทางมาจนถึงจุดนี้
ช่วงแรกที่มา มีความยากลำบากในการสื่อสาร ภาษาจีนได้เพียงงูๆปลาๆ ไม่สามารถสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้ อย่างที่สอง การที่คุณมาเริ่มต้นอะไรใหม่ๆในต่างประเทศ ในสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคย ทั้งผู้คน ทั้งภาษา ทั้งวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ต่างๆ มันมีความยากลำบากในการปรับตัว สิ่งที่ยากที่สุดกว่าจะเดินทางมาจนถึงจุดนี้ มันเกิดขึ้นในช่วงปีสองของการเรียนปริญญาโท ช่วงนั้นตอนกลับไทย มีเพื่อนชวนไปทำธุรกิจที่ประเทศจีน โดยเอาของที่ไทยไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าที่จีน ซึ่งเพื่อนเราเคยไปก่อนหน้านั้น แล้วได้เงินมาเป็นล้าน เขาบอกว่าธุรกิจนี้มันรุ่งมาก และเพื่อนก็ชวนเราไปด้วย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รู้สึกว่าเพื่อนประสบความสำเร็จ เราก็น่าจะประสบความสำเร็จแบบเพื่อนได้ เราก็เลยนำเงินเก็บที่เรามีอยู่ ซึ่งสำรองไว้เพื่อที่จะเรียนปริญญาโทให้จบ และเรายังขอที่บ้านมาด้วย รวมๆแล้ว 4 แสนกว่าไปทำธุรกิจ แต่ผลประกอบการไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือพูดง่ายๆว่าเจ๊ง เงินหมด ทำให้เรารู้สึกเฟลกับชีวิตว่าทำไมเราถึงล้มเหลวได้ขนาดนี้
ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า จะไปต่อหรือกลับประเทศไทย เพราะเงินที่สำรองไว้เพื่อที่จะมาเรียนไม่เหลือแล้ว อย่างที่สองคือ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะขอที่บ้าน เพราะขอไปทำธุรกิจแล้ว เรามีแค่สองทางเลือก คือเราสู้ต่อหรือกลับบ้าน ตอนนั้น ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ไม่สามารถหาเงินมาจุนเจือให้ตัวเองเรียนต่อ จึงคิดว่ากลับบ้านคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
แต่จุดที่ทำให้เปลี่ยนใจ คือเพื่อนๆรอบตัวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ บอกให้สู้ต่อ ให้เรียนต่ และให้ยืมเงิน จนทำให้เราสะสมเงินได้เพื่อจ่ายค่าเทอม 8 หมื่นเหรียญไต้หวัน เป็นจุดที่เราสามารถสู้ต่อได้นะ พอได้เงินค่าเทอมแล้ว เราก็เริ่มที่จะไปหางานทำ เพื่อหารายได้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่เราพูดภาษาจีนไม่ได้ งานที่เราทำได้คือการเป็นกรรมกรในร้านอาหาร และอยู่ในครัวอย่างไม่มีทางเลือก ถึงแม้ก่อนหน้านั้น เราจะเคยเป็นอาจารย์ ใช้ชีวิตเรียบหรูยังไงก็ตาม แต่สถานการณ์ขับขัน เราไม่มีทางเลือก เราต้องทำได้
ถามว่าโอเคไหม ช่วงแรกๆก็ไม่โอเค เราทำงานหนักมาก แต่โดนกดค่าจ้างและโดนนายจ้างขอให้ออก จึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน เพื่อนก็แนะนำร้านอาหารไทยที่เจ้าของเป็นคนพม่า ก็ขอยกความดีความชอบให้ที่นี่ เพราะเราทำกับเขามาประมาณ 5 ปี เจ้าของที่นี่ใจดี ค่าจ้างก็เป็นธรรม เรารู้สึกว่าเขาเห็นอกเห็นใจคนต่างชาติที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาพยายามจัดตารางงานของเราไม่ให้กระทบต่อการเรียน ซึ่งเราสามารถหารายได้ได้ประมาณเดือนละ 2 หมื่นกว่าเหรียญ ช่วงปิดเทอมก็ได้ประมาณ 3-4 หมื่น ณ ตอนนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากที่ทำให้เราสามารถซัปพอร์ตตัวเอง จนทำให้จบปริญญาเอกได้ ซึ่งตอนปริญญาเอกก็โชคอย่างหนึ่งที่เราก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัย คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องบอกว่าชีวิตมันยากลำบาก มื้อไหนจ่ายเกิน 100 เหรียญ จะรู้สึกผิดแล้ว สำหรับใครที่ท้อแท้กับชีวิต ให้นึกเสมอว่า ยังมีคนที่ลำบากยิ่งกว่าเรา
เพราะฉะนั้นอย่าท้อแท้กับชีวิต ลองสู้กับมันสักตั้งหนึ่ง แล้วคุณจะรู้ว่า คุณสู้ได้
ช่วงนั้นเคยคิดสั้นไหม?
การคิดสั้นไม่เคยอยู่ในหัว เพราะเรารู้สึกว่าเรามีครอบครัวที่รักเรามาก และเราก็รักครอบครัวมาก การคิดสั้น สำหรับเราคือการทำลายครอบครัว สำหรับใครที่คิดสั้น อยากให้นึกถึงครอบครัว การที่คุณจากไป คุณอาจจะสบาย อาจจะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะเป็นยังไง การคิดสั้นเป็นเพียงการตัดปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา ปัญหาอาจจะหมดไปสำหรับคุณ แต่คุณอาจจะทิ้งปัญหาให้คนที่อยู่ข้างหลังคุณหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคิดดีๆ คิดเยอะๆ ก่อนที่จะคิดสั้น ยังมีคนที่รักคุณอยู่เสมอบนโลกใบนี้
สิ่งที่ได้เรียนรู้กับการใช้ชีวิตในไต้หวัน
เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆ อย่างตอนอยู่ที่ไทย ด้วยความที่เราเป็นลูกคนสุดท้อง เราจะได้รับความรักทั้งจากพ่อแม่ พี่ๆ เรารู้สึกว่าชีวิตเราสะดวกสบาย มีความสุขอะไรเช่นนี้ แต่พอเรามาอยู่ไต้หวัน ไต้หวันเป็นที่ๆสอนให้เราแกร่งขึ้น บทเรียนที่ไต้หวันมอบให้ คือเรื่องของการคบเพื่อน อย่างตอนที่เราล้ม เราจะพบว่าใครพร้อมที่จะช่วยเรา และใครที่พร้อมจะตีจากจากเรา
By เจินเจิน - เจนนรี ตันตารา, อโศก ศรีจันทร์, อัญชัน ทรงพุทธิ์, Rtiไม่มีเส้นทางไหนโรยด้วยดอกกุหลาบ บันทึกชีวิตไต้หวันสัปดาห์นี้ พาไปฟังบทสัมภาษณ์ของอาจารย์พุฒ กับเส้นทางชีวิตในไต้หวัน ที่เกือบจะเรียนไม่จบ เพราะในช่วงที่เรียนปี 2 นำเงินที่เดิมทีเก็บไว้เรียนต่อไปทำธุรกิจ แต่ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เเงินหมด ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ในตอนนั้นมีเพียงสองทางเลือกคือสู้ต่อหรือกลับบ้าน แต่อาจารย์พุฒไม่ย่อท้อ เลือกที่จะสู้ต่อ และทำทุกงานที่ทำได้ เพื่อเก็บเงินส่งเสียตัวเองจนเรียนจบ ไต้หวันทำให้อาจารย์พุฒในวัยหนุ่มแข็งแกร่งขึ้น และยืนหยัดด้วยตนเอง จนกลายมาเป็นอาจารย์ในปัจจุบัน อาจารย์พุฒผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากมาได้อย่างไร ไปรับฟังพร้อมกันในรายการเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่
ทำไมถึงเลือกมาเรียนไต้หวัน
ย้อนกลับไป 10 ปี ถามว่าอะไรคือสิ่งที่จุดประกายให้เราเลือกที่จะมาเรียนไต้หวัน ตอนที่เรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีอยู่วิชาหนึ่ง อาจารย์ที่สอนเราเป็นอาจารย์ที่มาจากไต้หวันเรารู้สึกชอบอาจารย์คนนี้มากเรารู้สึกว่าเค้าใจดี สอนรู้เรื่อง และในระหว่างที่เค้าสอน เค้าพยายามพูดถึงไต้หวัน พูดถึงการศึกษาของไต้หวัน พูดถึงมหาวิทยาลัยของไต้หวันในด้านดีดีให้เราฟัง เราก็เลยรู้สึกว่าชอบ และอยากจะมาสัมผัสการเป็นนักเรียนในไต้หวันสักครั้งหนึ่ง อาจเป็นการเรียนภาษา มาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนหรือมาเรียนปริญญา
หลังจากนั้นประมาณเดือนถึงสองเดือน คณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เปิดรับสมัครนักศึกษาแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะมาแลกเปลี่ยนมหาวิทยาลัยในไต้หวัน เรารู้สึกว่าอาจจะเป็นโอกาสของเราที่จะมาเรียนไต้หวัน เราก็เลยสมัคร และในวันสัมภาษณ์เรารู้สึกว่าเราทำได้ดี เพราะเราก็เคยเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จีนมาสองครั้ง เคยไปอเมริกามา เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติดีพอที่น่าจะได้รับการคัดเลือก แต่ผลปรากฏว่าเราไม่ได้ เรารู้สึกเฟลมาก ก็ได้แต่เก็บคำถามและความคับแค้นใจนี้เอาไว้ จนเรียนจบแล้วได้กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคใต้ในฐานะทีเอ
ตอนนั้น เราชอบการสอนมาก แต่จู่จู่มหาลัยก็เปลี่ยนนโยบาย ยกเลิกตำแหน่งนี้ แล้วเอาเราเลื่อนไปอยู่ในอีกตำแหน่งหนึ่งที่ลดทั้งภาระงานทั้งตำแหน่งและลดเงินเดือนด้วย เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ตอนนั้นเพื่อนๆคนอื่นก็ถามว่าทำไมถึงลาออก เราก็บอกว่าจะไปเรียนต่อ เค้าก็ถามว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน ชื่อแรกที่โผล่ขึ้นมาในสมองก็คือไต้หวัน ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้เริ่มหามหาวิทยาลัย เรายังไม่รู้เลยว่าไต้หวันมีมหาลัยไหนดัง ไม่มีความรู้อะไรเลย
พอทุกคนที่นั้นรับรู้ว่าเราจะไปไต้หวันแล้ว เรารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมาศึกษาข้อมูลว่าไต้หวันมีมหาวิทยาลัยอะไร ถ้าจะไปเรียนสาขานี้ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน ถ้าชอบเมืองแบบนี้ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาไต้หวัน คือการพรั่งปากพูดไปว่าฉันจะไปเรียนที่ไต้หวัน อาจจะฟังดูตลก แต่มันก็มีผลมาจนถึง ณ ปัจจุบัน ที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ
สู้ต่อหรือกลับบ้าน กว่าจะเดินทางมาจนถึงจุดนี้
ช่วงแรกที่มา มีความยากลำบากในการสื่อสาร ภาษาจีนได้เพียงงูๆปลาๆ ไม่สามารถสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้ อย่างที่สอง การที่คุณมาเริ่มต้นอะไรใหม่ๆในต่างประเทศ ในสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคย ทั้งผู้คน ทั้งภาษา ทั้งวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ต่างๆ มันมีความยากลำบากในการปรับตัว สิ่งที่ยากที่สุดกว่าจะเดินทางมาจนถึงจุดนี้ มันเกิดขึ้นในช่วงปีสองของการเรียนปริญญาโท ช่วงนั้นตอนกลับไทย มีเพื่อนชวนไปทำธุรกิจที่ประเทศจีน โดยเอาของที่ไทยไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าที่จีน ซึ่งเพื่อนเราเคยไปก่อนหน้านั้น แล้วได้เงินมาเป็นล้าน เขาบอกว่าธุรกิจนี้มันรุ่งมาก และเพื่อนก็ชวนเราไปด้วย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รู้สึกว่าเพื่อนประสบความสำเร็จ เราก็น่าจะประสบความสำเร็จแบบเพื่อนได้ เราก็เลยนำเงินเก็บที่เรามีอยู่ ซึ่งสำรองไว้เพื่อที่จะเรียนปริญญาโทให้จบ และเรายังขอที่บ้านมาด้วย รวมๆแล้ว 4 แสนกว่าไปทำธุรกิจ แต่ผลประกอบการไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือพูดง่ายๆว่าเจ๊ง เงินหมด ทำให้เรารู้สึกเฟลกับชีวิตว่าทำไมเราถึงล้มเหลวได้ขนาดนี้
ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า จะไปต่อหรือกลับประเทศไทย เพราะเงินที่สำรองไว้เพื่อที่จะมาเรียนไม่เหลือแล้ว อย่างที่สองคือ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะขอที่บ้าน เพราะขอไปทำธุรกิจแล้ว เรามีแค่สองทางเลือก คือเราสู้ต่อหรือกลับบ้าน ตอนนั้น ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ไม่สามารถหาเงินมาจุนเจือให้ตัวเองเรียนต่อ จึงคิดว่ากลับบ้านคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
แต่จุดที่ทำให้เปลี่ยนใจ คือเพื่อนๆรอบตัวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ บอกให้สู้ต่อ ให้เรียนต่ และให้ยืมเงิน จนทำให้เราสะสมเงินได้เพื่อจ่ายค่าเทอม 8 หมื่นเหรียญไต้หวัน เป็นจุดที่เราสามารถสู้ต่อได้นะ พอได้เงินค่าเทอมแล้ว เราก็เริ่มที่จะไปหางานทำ เพื่อหารายได้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่เราพูดภาษาจีนไม่ได้ งานที่เราทำได้คือการเป็นกรรมกรในร้านอาหาร และอยู่ในครัวอย่างไม่มีทางเลือก ถึงแม้ก่อนหน้านั้น เราจะเคยเป็นอาจารย์ ใช้ชีวิตเรียบหรูยังไงก็ตาม แต่สถานการณ์ขับขัน เราไม่มีทางเลือก เราต้องทำได้
ถามว่าโอเคไหม ช่วงแรกๆก็ไม่โอเค เราทำงานหนักมาก แต่โดนกดค่าจ้างและโดนนายจ้างขอให้ออก จึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน เพื่อนก็แนะนำร้านอาหารไทยที่เจ้าของเป็นคนพม่า ก็ขอยกความดีความชอบให้ที่นี่ เพราะเราทำกับเขามาประมาณ 5 ปี เจ้าของที่นี่ใจดี ค่าจ้างก็เป็นธรรม เรารู้สึกว่าเขาเห็นอกเห็นใจคนต่างชาติที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาพยายามจัดตารางงานของเราไม่ให้กระทบต่อการเรียน ซึ่งเราสามารถหารายได้ได้ประมาณเดือนละ 2 หมื่นกว่าเหรียญ ช่วงปิดเทอมก็ได้ประมาณ 3-4 หมื่น ณ ตอนนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากที่ทำให้เราสามารถซัปพอร์ตตัวเอง จนทำให้จบปริญญาเอกได้ ซึ่งตอนปริญญาเอกก็โชคอย่างหนึ่งที่เราก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัย คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องบอกว่าชีวิตมันยากลำบาก มื้อไหนจ่ายเกิน 100 เหรียญ จะรู้สึกผิดแล้ว สำหรับใครที่ท้อแท้กับชีวิต ให้นึกเสมอว่า ยังมีคนที่ลำบากยิ่งกว่าเรา
เพราะฉะนั้นอย่าท้อแท้กับชีวิต ลองสู้กับมันสักตั้งหนึ่ง แล้วคุณจะรู้ว่า คุณสู้ได้
ช่วงนั้นเคยคิดสั้นไหม?
การคิดสั้นไม่เคยอยู่ในหัว เพราะเรารู้สึกว่าเรามีครอบครัวที่รักเรามาก และเราก็รักครอบครัวมาก การคิดสั้น สำหรับเราคือการทำลายครอบครัว สำหรับใครที่คิดสั้น อยากให้นึกถึงครอบครัว การที่คุณจากไป คุณอาจจะสบาย อาจจะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะเป็นยังไง การคิดสั้นเป็นเพียงการตัดปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา ปัญหาอาจจะหมดไปสำหรับคุณ แต่คุณอาจจะทิ้งปัญหาให้คนที่อยู่ข้างหลังคุณหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคิดดีๆ คิดเยอะๆ ก่อนที่จะคิดสั้น ยังมีคนที่รักคุณอยู่เสมอบนโลกใบนี้
สิ่งที่ได้เรียนรู้กับการใช้ชีวิตในไต้หวัน
เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆ อย่างตอนอยู่ที่ไทย ด้วยความที่เราเป็นลูกคนสุดท้อง เราจะได้รับความรักทั้งจากพ่อแม่ พี่ๆ เรารู้สึกว่าชีวิตเราสะดวกสบาย มีความสุขอะไรเช่นนี้ แต่พอเรามาอยู่ไต้หวัน ไต้หวันเป็นที่ๆสอนให้เราแกร่งขึ้น บทเรียนที่ไต้หวันมอบให้ คือเรื่องของการคบเพื่อน อย่างตอนที่เราล้ม เราจะพบว่าใครพร้อมที่จะช่วยเรา และใครที่พร้อมจะตีจากจากเรา