
Sign up to save your podcasts
Or


ช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ได้ผลักดันโครงการบริการเคลื่อนที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เพื่อให้เข้าถึงปัญหาและให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด และเพื่อแสดงความห่วงใย ให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถใช้ชีวิตในไต้หวันได้อย่างมั่นใจ บันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ เราจึงอยากขอนำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อยู่ในไต้หวัน ว่าพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆที่อยู่ในไต้หวันเช่นกัน นอกจากนี้ เนื่องจากตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน จึงได้ฝากเตือนประชาชนทุกคน หลังจากไปเที่ยวต่างประเทศ หรือกลับไปเยี่ยมญาติที่ประเทศบ้านเกิด เมื่อเดินทางกลับไต้หวันห้ามนำผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมูเข้าไต้หวันโดยเด็ดขาด และขอความร่วมมือแจ้งให้ญาติพี่น้องทางบ้านทราบ อย่าส่งอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมูมายังไต้หวัน นอกจากจะถูกปรับแล้ว อาจถูกดำเนินคดีด้วย คลิกฟังรายการที่นี่
เทศกาลตรุษจีนใกล้เข้ามา สตม.ไต้หวันตรวจเข้มโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ห้ามนำผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจากต่างประเทศเข้าไต้หวัน
ใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันเผยว่า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร จึงขอความร่วมมือประชาชนไม่นำผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากพื้นที่ที่มีการระบาดเข้ามาในไต้หวัน นอกจากอาจถูกปรับสูงสุด 1,000,000 เหรียญไต้หวัน ยังอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ไต้หวัน โดยเมื่อปีที่แล้ว มีผู้โดยสารที่ถูกตรวจพบแต่ไม่มีเงินเสียค่าปรับ จึงถูกห้ามเข้าไต้หวันทั้งหมด 95 ราย
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ไต้หวันได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอนามัยสัตว์โลก (WOAH) อย่างเป็นทางการ ว่าเป็น"เขตปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร" แต่การระบาดของโรคนี้ในหลายประเทศยังคงรุนแรง โดยปัจจุบันมี 74 ประเทศและภูมิภาคที่ยังคงเป็นพื้นที่ระบาด สืบเนื่องจากเทศกาลตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเผยว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานต่างชาติมักจะคิดถึงอาหารบ้านเกิด และอาจจะมีการนำวัตถุดิบอาหารจากบ้านเกิดเข้ามายังไต้หวัน หรืออาจขอให้ญาติที่บ้านส่งเป็นพัสดุมาให้ แต่เนื่องจากโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกรยังคงมีการระบาดรุนแรง จึงขอเตือนประชาชนที่ไปท่องเที่ยวหรือกลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ ห้ามนำผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อหมูเข้ามาไต้หวันโดยเด็ดขาด
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเตือนว่า ผู้โดยสารที่เดินทางมาไต้หวัน ต้องระวัง อย่านำอาหารบนเครื่องลงมาด้วย หากเผลอนำผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ติดตัวมาด้วย ให้รีบโยนทิ้งในถังขยะก่อนผ่านด่านตรวจ หากถูกตรวจพบครั้งแรกปรับ 200,000 เหรียญไต้หวัน ทำผิดซ้ำปรับ 1 ล้านเหรียญไต้หวัน หากไม่สามารถชำระค่าปรับตามกำหนดได้ จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ไต้หวัน และถูกส่งกลับประเทศทันที โดยเมื่อปีที่แล้ว มีผู้โดยสารถูกตรวจพบที่สนามบิน 95 รายถูกปฏิเสธการเข้าไต้หวันเนื่องจากไม่สามารถชำระค่าปรับ โดยในจำนวนนี้ 65 รายเป็นนักท่องเที่ยว
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเล่าว่า มีนักท่องเที่ยวชาวแคนาดาคนหนึ่ง เดินทางมาเที่ยวไต้หวันพร้อมครอบครัว แต่เผลอนำขนมปังที่มีไส้หมูติดตัวมา เนื่องจากไม่สามารถชำระค่าปรับได้ทันที จึงถูกปฏิเสธการเข้าไต้หวัน ทำให้ทริปท่องเที่ยวครอบครัวต้องถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง มีแรงงานชาวเวียดนามคนหนึ่งที่มาทำงานในไต้หวัน ด้วยความกังวลว่าพอมาทำงานไต้หวันแล้วจะไม่ได้กินอาหารบ้านเกิด เขาจึงพกไส้กรอกหมู 1 ห่อติดตัวมากินบนเครื่องบิน แต่กินไม่หมดและดันลืมทิ้ง จึงถูกตรวจพบและถูกปฏิเสธเข้าไต้หวัน เพราะไม่มีเงินเสียค่าปรับ ความฝันที่จะมาทำงานหาเงินหาทองในไต้หวัน ต้องมลายหายไปในพริบตา ได้ไม่คุ้มเสียเลยจริงๆ
คุณกวนเหม่ยเหลียน (官美連) พาเจ้าหน้าที่ สตม.เยี่ยมชมนิทรรศการ “บทสนทนาแห่งศตวรรษ : การพบกันระหว่างผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน”
รถบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมุ่งหน้าสู่นครเถาหยวน ส่งพลังให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สู้ชีวิต
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ได้มีการผลักดันโครงการบริการเคลื่อนที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างตรงจุด ขยายผลการดำเนินงานด้านการให้บริการคำปรึกษาแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน นำโดยนายเซี่ยเหวินจง (謝文忠) เลขาธิการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทยไต้หวัน พร้อมด้วยนางหลินเพ่ยจวิน (林佩君) ที่ปรึกษาคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ โอวหยางฉุนลี่ (歐陽純麗) รองผู้อำนวยการ มูลนิธิเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน (Straits Exchange Foundation:SEF) พร้อมขณะ ได้โดยสารรถบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน เดินทางไปเยี่ยมเยียน ถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่และการปรับตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในนครเถาหยวน พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยและแสดงพลังการสนับสนุนของรัฐบาลที่มีต่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่
สถานีแรกที่รถบริการเคลื่อนที่เดินทางไปเยือน คือบ้านของคุณกวนเหม่ยเหลียน (官美連) ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวอินโดนีเซีย ผู้ซึ่งแต่งงานมาอยู่ไต้หวันเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว ทำลายกำแพงภาษา คุณกวนเหม่ยเหลียน จึงมีความพยายามและตั้งใจเรียนภาษาจีนและภาษาฮากกาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเข้าร่วมหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ จนได้รับใบรับรองความสามารถด้านภาษาฮากกา และยังได้รับวุฒิบัตรรับรองการเป็นวิทยากรด้านพหุวัฒนธรรม และได้ทำงานด้านการเป็นล่ามแปลและสอนภาษาอินโดนีเซีย นอกจากนั้น คุณเหม่ยเหลียนยังใช้ความสามารถและความเชี่ยวชาญด้านการทำผ้าบาติก เป็นตัวแทนศิลปินหัตถกรรมของไต้หวันเข้าร่วมงาน “เทศกาลวัฒนธรรมไต้หวัน 2023 ที่แคนาดา” เผยแพร่ความรู้ด้านผ้าบาติกของอินโดนีเซีย ผ่านนิทรรศการ การบรรยายและกิจกรรม DIY ทำให้ทั่วโลกได้เห็นถึงคุณค่าของศิลปะที่เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลายระหว่างไต้หวันกับอินโดนีเซีย
เพื่อเป็นการขอบคุณไต้หวันที่เปิดโอกาสให้เธอได้สำรวจศักยภาพของตัวเอง เธอจึงตั้งปณิธานว่าจะอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของสังคม มุ่งมั่นทำงานด้านการช่วยเหลือสังคม นอกจากทำงานจิตอาสาและล่ามแปลภาษาแล้ว เธอยังเคยเป็นกรรมการในคณะกรรมการกิจการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ของนครเถาหยวน และได้รับรางวัลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ดีเด่นของนครเถาหยวนประจำปี 2566 อีกด้วย ในวันที่เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปเยี่ยม ประจวบเหมาะกับที่ คุณกวนเหม่ยเหลียนไปเป็นจิตอาสาในนิทรรศการพิเศษ “บทสนทนาแห่งศตวรรษ : การพบกันระหว่างผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน” ที่จัดขึ้น ณ หอสมุดนครเถาหยวน เธอยังทำหน้าที่ไกด์พาคณะของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปเยี่ยมชมวัตถุโบราณล้ำค่าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมทั้งอธิบายให้ทางคณะได้รู้จักความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้
สำหรับสถานีที่สองที่รถบริการเคลื่อนที่ของสำนังานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันเดินทางไปเยือน คือร้านบะหมี่หวังเจี้ยงซินเว่ย ที่เปิดโดยคุณเหยียนเจียมู่ (閆嘉慕) ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ คุณเจียมู่เดินทางมาจากเมืองฮาร์บิน เป็นลูกคนเดียว เธอแต่งงานกับสามีชาวไต้หวันและย้ายมาอยู่ไต้หวันในปี 2548 ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน เธอเคยทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องประดับ แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อสามีป่วยเป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองตีบฉับพลัน เธอจึงเปิดร้านอาหารเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว นี่คือจุดเริ่มต้นของหญิงแกร่งคนนี้ผู้ซึ่งไม่เคยทำอาหารมาก่อน ตัดสินใจเปิดร้านอาหารฮาร์บินในไต้หวัน เพื่อนำเสนอรสชาติบ้านเกิดของตัวเอง
แม้ว่าญาติฝ่ายแม่ของเจียมู่ส่วนใหญ่จะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร แต่ตัวเธอเองกลับไม่เข้าได้เข้าครัว และไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ทำให้ในช่วงแรกของการเปิดร้าน มีเรื่องตลกเกิดขึ้นมากมาย ครั้งหนึ่งเธอใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการทำบะหมี่หนึ่งชาม ถึงแม้ว่าญาติพี่น้องและเพื่อนๆ คิดว่าเธอคงไปไม่รอด และคิดว่าร้านคงจะต้องปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ แต่เธอยังคงยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป ไม่ยอมท้อถอยเพื่อลูกและครอบครัว นอกจากเธอจะพยายามเรียนรู้พื้นฐานการทำอาหารจากแม่แล้ว เธอยังหมั่นฝึกฝนฝีมือของตัวเองอยู่เสมอ จนในที่สุดร้านของเธอก็เริ่มเติบโตขึ้นจากการบอกต่อปากต่อปากของลูกค้า และประสบความสำเร็จในที่สุด ตลอดเส้นทางนี้ เธอรู้สึกขอบคุณแม่ที่สอนทำอาหาร และลูกชายที่คอยสนับสนุน เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกท้อแท้ เธอจะนึกถึงคำพูดของลูกชายวัย 5 ขวบในตอนนั้นที่บอกเธอว่า 「媽媽你知道嗎,只有最努力的人才會成功。」“แม่รู้ไหมครับ มีเพียงคนที่พยายามที่สุดเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ” ในวันที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปเยี่ยม เจียมู่กล่าวว่า เกี๊ยวของร้านเธอมีรสชาติหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกค้าบางคนที่ไม่ชอบกินแครอท แต่กลับยอมกินเกี๊ยวไส้แครอทของร้านเธอ ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เจียมู่จึงถือโอกาสนี้ สอนคณะห่อเกี๊ยว พร้อมทั้งเล่าชีวิตของตัวเองให้ทางคณะฟังไปด้วย เป็นบรรยากาศที่ทั้งอบอุ่น ทั้งอิ่มใจ อิ่มท้องไปในตัว
ร้านอาหารของสองสามีภรรยา ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากฮ่องกง
สถานีสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ ทางคณะได้ไปเยี่ยมคุณกู่จวินและซูหัวเจิน คู่สามีภรรยา เจ้าของร้านอาหารที่มีชื่อร้านว่า 山下美食 แปลว่า อาหารใต้เขา ทั้งคู่เคยเป็นนักบัญชีที่ฮ่องกง พวกเขาเคยเดินทางมาเที่ยวไต้หวันหลายครั้งและหลงรักบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย เปิดกว้าง และมีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ของไต้หวัน จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ไต้หวัน พวกเขาได้เรียนทักษะการทำอาหารจากเพื่อน และเช่าร้านในนครเถาหยวนเปิดร้านอาหาร 山下美食 ซึ่งชื่อร้านมีที่มาจากละครโทรทัศน์ฮ่องกงในยุค 1970 ชื่อเรื่อง Below the Lion Roc kหรือในชื่อภาษาจีนคือ 獅子山下 เป็นละครแนวสร้างแรงบันดาลใจ บอกเล่าถึงจิตวิญญาณการเป็นนักสู้ของชาวฮ่องกงที่อยู่ในสายเลือด มุ่งมั่นทำงานอย่างหนักแม้จะยากลำบาก เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามีภรรยาคู่นี้ยังสังเกตเห็นว่าอาหารนอกบ้านในไต้หวันมักมีความมันเยิ้มและขาดใยอาหาร พวกเขาจึงออกแบบเมนูในร้านโดยเน้นด้านเมนูสุขภาพเป็นหลัก จำหน่ายบะหมี่เย็น และอาหารว่างสไตล์ฮ่องกงเป็นหลัก นอกจากนี้ พวกเขายังให้ความสำคัญกับแนวคิดความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทางร้านจึงไม่ใช้ภาชนะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ในส่วนของบริการเดลิเวอรี ยังใช้กล่องอาหารที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ คุณกู่จวินยังมักจะปั่นจักรยานส่งอาหารด้วยตัวเอง จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมนี้สร้างความประทับใจให้กับคุณเซี่ยเหวินจงและคณะเป็นอย่างมาก
คุณเซี่ยเหวินจง เลขาธิการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เป็นทรัพยากรสำคัญของไต้หวัน ภารกิจในครั้งนี้ ได้ทำให้ทุกคนเห็นถึงความงดงามและชีวิตที่มีสีสันในไต้หวันของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ แสดงให้เห็นว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ คือพลังใหม่ที่ไต้หวันขาดไม่ได้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ในฐานะที่พักพิงของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ จะเดินหน้าสร้างและจัดหาสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและเป็นมิตร เพื่อให้ทุกคนที่มาเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เชื่อมั่นในอนาคต และเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของไต้หวัน
By เจินเจิน - เจนนรี ตันตารา, อโศก ศรีจันทร์, อัญชัน ทรงพุทธิ์, Rtiช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ได้ผลักดันโครงการบริการเคลื่อนที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เพื่อให้เข้าถึงปัญหาและให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด และเพื่อแสดงความห่วงใย ให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถใช้ชีวิตในไต้หวันได้อย่างมั่นใจ บันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ เราจึงอยากขอนำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อยู่ในไต้หวัน ว่าพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆที่อยู่ในไต้หวันเช่นกัน นอกจากนี้ เนื่องจากตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน จึงได้ฝากเตือนประชาชนทุกคน หลังจากไปเที่ยวต่างประเทศ หรือกลับไปเยี่ยมญาติที่ประเทศบ้านเกิด เมื่อเดินทางกลับไต้หวันห้ามนำผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมูเข้าไต้หวันโดยเด็ดขาด และขอความร่วมมือแจ้งให้ญาติพี่น้องทางบ้านทราบ อย่าส่งอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมูมายังไต้หวัน นอกจากจะถูกปรับแล้ว อาจถูกดำเนินคดีด้วย คลิกฟังรายการที่นี่
เทศกาลตรุษจีนใกล้เข้ามา สตม.ไต้หวันตรวจเข้มโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ห้ามนำผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจากต่างประเทศเข้าไต้หวัน
ใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันเผยว่า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร จึงขอความร่วมมือประชาชนไม่นำผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากพื้นที่ที่มีการระบาดเข้ามาในไต้หวัน นอกจากอาจถูกปรับสูงสุด 1,000,000 เหรียญไต้หวัน ยังอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ไต้หวัน โดยเมื่อปีที่แล้ว มีผู้โดยสารที่ถูกตรวจพบแต่ไม่มีเงินเสียค่าปรับ จึงถูกห้ามเข้าไต้หวันทั้งหมด 95 ราย
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ไต้หวันได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอนามัยสัตว์โลก (WOAH) อย่างเป็นทางการ ว่าเป็น"เขตปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร" แต่การระบาดของโรคนี้ในหลายประเทศยังคงรุนแรง โดยปัจจุบันมี 74 ประเทศและภูมิภาคที่ยังคงเป็นพื้นที่ระบาด สืบเนื่องจากเทศกาลตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเผยว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานต่างชาติมักจะคิดถึงอาหารบ้านเกิด และอาจจะมีการนำวัตถุดิบอาหารจากบ้านเกิดเข้ามายังไต้หวัน หรืออาจขอให้ญาติที่บ้านส่งเป็นพัสดุมาให้ แต่เนื่องจากโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกรยังคงมีการระบาดรุนแรง จึงขอเตือนประชาชนที่ไปท่องเที่ยวหรือกลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ ห้ามนำผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อหมูเข้ามาไต้หวันโดยเด็ดขาด
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเตือนว่า ผู้โดยสารที่เดินทางมาไต้หวัน ต้องระวัง อย่านำอาหารบนเครื่องลงมาด้วย หากเผลอนำผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ติดตัวมาด้วย ให้รีบโยนทิ้งในถังขยะก่อนผ่านด่านตรวจ หากถูกตรวจพบครั้งแรกปรับ 200,000 เหรียญไต้หวัน ทำผิดซ้ำปรับ 1 ล้านเหรียญไต้หวัน หากไม่สามารถชำระค่าปรับตามกำหนดได้ จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ไต้หวัน และถูกส่งกลับประเทศทันที โดยเมื่อปีที่แล้ว มีผู้โดยสารถูกตรวจพบที่สนามบิน 95 รายถูกปฏิเสธการเข้าไต้หวันเนื่องจากไม่สามารถชำระค่าปรับ โดยในจำนวนนี้ 65 รายเป็นนักท่องเที่ยว
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเล่าว่า มีนักท่องเที่ยวชาวแคนาดาคนหนึ่ง เดินทางมาเที่ยวไต้หวันพร้อมครอบครัว แต่เผลอนำขนมปังที่มีไส้หมูติดตัวมา เนื่องจากไม่สามารถชำระค่าปรับได้ทันที จึงถูกปฏิเสธการเข้าไต้หวัน ทำให้ทริปท่องเที่ยวครอบครัวต้องถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง มีแรงงานชาวเวียดนามคนหนึ่งที่มาทำงานในไต้หวัน ด้วยความกังวลว่าพอมาทำงานไต้หวันแล้วจะไม่ได้กินอาหารบ้านเกิด เขาจึงพกไส้กรอกหมู 1 ห่อติดตัวมากินบนเครื่องบิน แต่กินไม่หมดและดันลืมทิ้ง จึงถูกตรวจพบและถูกปฏิเสธเข้าไต้หวัน เพราะไม่มีเงินเสียค่าปรับ ความฝันที่จะมาทำงานหาเงินหาทองในไต้หวัน ต้องมลายหายไปในพริบตา ได้ไม่คุ้มเสียเลยจริงๆ
คุณกวนเหม่ยเหลียน (官美連) พาเจ้าหน้าที่ สตม.เยี่ยมชมนิทรรศการ “บทสนทนาแห่งศตวรรษ : การพบกันระหว่างผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน”
รถบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมุ่งหน้าสู่นครเถาหยวน ส่งพลังให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สู้ชีวิต
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ได้มีการผลักดันโครงการบริการเคลื่อนที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างตรงจุด ขยายผลการดำเนินงานด้านการให้บริการคำปรึกษาแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน นำโดยนายเซี่ยเหวินจง (謝文忠) เลขาธิการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทยไต้หวัน พร้อมด้วยนางหลินเพ่ยจวิน (林佩君) ที่ปรึกษาคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ โอวหยางฉุนลี่ (歐陽純麗) รองผู้อำนวยการ มูลนิธิเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน (Straits Exchange Foundation:SEF) พร้อมขณะ ได้โดยสารรถบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน เดินทางไปเยี่ยมเยียน ถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่และการปรับตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในนครเถาหยวน พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยและแสดงพลังการสนับสนุนของรัฐบาลที่มีต่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่
สถานีแรกที่รถบริการเคลื่อนที่เดินทางไปเยือน คือบ้านของคุณกวนเหม่ยเหลียน (官美連) ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวอินโดนีเซีย ผู้ซึ่งแต่งงานมาอยู่ไต้หวันเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว ทำลายกำแพงภาษา คุณกวนเหม่ยเหลียน จึงมีความพยายามและตั้งใจเรียนภาษาจีนและภาษาฮากกาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเข้าร่วมหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ จนได้รับใบรับรองความสามารถด้านภาษาฮากกา และยังได้รับวุฒิบัตรรับรองการเป็นวิทยากรด้านพหุวัฒนธรรม และได้ทำงานด้านการเป็นล่ามแปลและสอนภาษาอินโดนีเซีย นอกจากนั้น คุณเหม่ยเหลียนยังใช้ความสามารถและความเชี่ยวชาญด้านการทำผ้าบาติก เป็นตัวแทนศิลปินหัตถกรรมของไต้หวันเข้าร่วมงาน “เทศกาลวัฒนธรรมไต้หวัน 2023 ที่แคนาดา” เผยแพร่ความรู้ด้านผ้าบาติกของอินโดนีเซีย ผ่านนิทรรศการ การบรรยายและกิจกรรม DIY ทำให้ทั่วโลกได้เห็นถึงคุณค่าของศิลปะที่เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลายระหว่างไต้หวันกับอินโดนีเซีย
เพื่อเป็นการขอบคุณไต้หวันที่เปิดโอกาสให้เธอได้สำรวจศักยภาพของตัวเอง เธอจึงตั้งปณิธานว่าจะอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของสังคม มุ่งมั่นทำงานด้านการช่วยเหลือสังคม นอกจากทำงานจิตอาสาและล่ามแปลภาษาแล้ว เธอยังเคยเป็นกรรมการในคณะกรรมการกิจการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ของนครเถาหยวน และได้รับรางวัลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ดีเด่นของนครเถาหยวนประจำปี 2566 อีกด้วย ในวันที่เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปเยี่ยม ประจวบเหมาะกับที่ คุณกวนเหม่ยเหลียนไปเป็นจิตอาสาในนิทรรศการพิเศษ “บทสนทนาแห่งศตวรรษ : การพบกันระหว่างผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน” ที่จัดขึ้น ณ หอสมุดนครเถาหยวน เธอยังทำหน้าที่ไกด์พาคณะของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปเยี่ยมชมวัตถุโบราณล้ำค่าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมทั้งอธิบายให้ทางคณะได้รู้จักความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้
สำหรับสถานีที่สองที่รถบริการเคลื่อนที่ของสำนังานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันเดินทางไปเยือน คือร้านบะหมี่หวังเจี้ยงซินเว่ย ที่เปิดโดยคุณเหยียนเจียมู่ (閆嘉慕) ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ คุณเจียมู่เดินทางมาจากเมืองฮาร์บิน เป็นลูกคนเดียว เธอแต่งงานกับสามีชาวไต้หวันและย้ายมาอยู่ไต้หวันในปี 2548 ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน เธอเคยทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องประดับ แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อสามีป่วยเป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองตีบฉับพลัน เธอจึงเปิดร้านอาหารเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว นี่คือจุดเริ่มต้นของหญิงแกร่งคนนี้ผู้ซึ่งไม่เคยทำอาหารมาก่อน ตัดสินใจเปิดร้านอาหารฮาร์บินในไต้หวัน เพื่อนำเสนอรสชาติบ้านเกิดของตัวเอง
แม้ว่าญาติฝ่ายแม่ของเจียมู่ส่วนใหญ่จะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร แต่ตัวเธอเองกลับไม่เข้าได้เข้าครัว และไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ทำให้ในช่วงแรกของการเปิดร้าน มีเรื่องตลกเกิดขึ้นมากมาย ครั้งหนึ่งเธอใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการทำบะหมี่หนึ่งชาม ถึงแม้ว่าญาติพี่น้องและเพื่อนๆ คิดว่าเธอคงไปไม่รอด และคิดว่าร้านคงจะต้องปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ แต่เธอยังคงยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป ไม่ยอมท้อถอยเพื่อลูกและครอบครัว นอกจากเธอจะพยายามเรียนรู้พื้นฐานการทำอาหารจากแม่แล้ว เธอยังหมั่นฝึกฝนฝีมือของตัวเองอยู่เสมอ จนในที่สุดร้านของเธอก็เริ่มเติบโตขึ้นจากการบอกต่อปากต่อปากของลูกค้า และประสบความสำเร็จในที่สุด ตลอดเส้นทางนี้ เธอรู้สึกขอบคุณแม่ที่สอนทำอาหาร และลูกชายที่คอยสนับสนุน เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกท้อแท้ เธอจะนึกถึงคำพูดของลูกชายวัย 5 ขวบในตอนนั้นที่บอกเธอว่า 「媽媽你知道嗎,只有最努力的人才會成功。」“แม่รู้ไหมครับ มีเพียงคนที่พยายามที่สุดเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ” ในวันที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปเยี่ยม เจียมู่กล่าวว่า เกี๊ยวของร้านเธอมีรสชาติหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกค้าบางคนที่ไม่ชอบกินแครอท แต่กลับยอมกินเกี๊ยวไส้แครอทของร้านเธอ ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เจียมู่จึงถือโอกาสนี้ สอนคณะห่อเกี๊ยว พร้อมทั้งเล่าชีวิตของตัวเองให้ทางคณะฟังไปด้วย เป็นบรรยากาศที่ทั้งอบอุ่น ทั้งอิ่มใจ อิ่มท้องไปในตัว
ร้านอาหารของสองสามีภรรยา ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากฮ่องกง
สถานีสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ ทางคณะได้ไปเยี่ยมคุณกู่จวินและซูหัวเจิน คู่สามีภรรยา เจ้าของร้านอาหารที่มีชื่อร้านว่า 山下美食 แปลว่า อาหารใต้เขา ทั้งคู่เคยเป็นนักบัญชีที่ฮ่องกง พวกเขาเคยเดินทางมาเที่ยวไต้หวันหลายครั้งและหลงรักบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย เปิดกว้าง และมีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ของไต้หวัน จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ไต้หวัน พวกเขาได้เรียนทักษะการทำอาหารจากเพื่อน และเช่าร้านในนครเถาหยวนเปิดร้านอาหาร 山下美食 ซึ่งชื่อร้านมีที่มาจากละครโทรทัศน์ฮ่องกงในยุค 1970 ชื่อเรื่อง Below the Lion Roc kหรือในชื่อภาษาจีนคือ 獅子山下 เป็นละครแนวสร้างแรงบันดาลใจ บอกเล่าถึงจิตวิญญาณการเป็นนักสู้ของชาวฮ่องกงที่อยู่ในสายเลือด มุ่งมั่นทำงานอย่างหนักแม้จะยากลำบาก เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามีภรรยาคู่นี้ยังสังเกตเห็นว่าอาหารนอกบ้านในไต้หวันมักมีความมันเยิ้มและขาดใยอาหาร พวกเขาจึงออกแบบเมนูในร้านโดยเน้นด้านเมนูสุขภาพเป็นหลัก จำหน่ายบะหมี่เย็น และอาหารว่างสไตล์ฮ่องกงเป็นหลัก นอกจากนี้ พวกเขายังให้ความสำคัญกับแนวคิดความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทางร้านจึงไม่ใช้ภาชนะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ในส่วนของบริการเดลิเวอรี ยังใช้กล่องอาหารที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ คุณกู่จวินยังมักจะปั่นจักรยานส่งอาหารด้วยตัวเอง จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมนี้สร้างความประทับใจให้กับคุณเซี่ยเหวินจงและคณะเป็นอย่างมาก
คุณเซี่ยเหวินจง เลขาธิการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เป็นทรัพยากรสำคัญของไต้หวัน ภารกิจในครั้งนี้ ได้ทำให้ทุกคนเห็นถึงความงดงามและชีวิตที่มีสีสันในไต้หวันของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ แสดงให้เห็นว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ คือพลังใหม่ที่ไต้หวันขาดไม่ได้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ในฐานะที่พักพิงของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ จะเดินหน้าสร้างและจัดหาสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและเป็นมิตร เพื่อให้ทุกคนที่มาเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เชื่อมั่นในอนาคต และเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของไต้หวัน