
Sign up to save your podcasts
Or


บันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ นำเอาบทความจากคอลัมน์ opinian ของนิตยสาร CommonWealth มาเล่าสู่กันฟัง บทความนี้มีชื่อว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ช่วยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เชื่อมโยงกับชีวิตในไต้หวันอย่างไร เป็นบทความที่เขียนโดยเสิ่นเจียเหว่ย นักเรียนชั้นปริญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน บรรยายถึงการทำงานของศูนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ในการดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน ตั้งแต่การปรับตัวในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการคำปรึกษาด้านกฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใช้ชีวิตในไต้หวันได้อย่างอุ่นใจ และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับไต้หวัน คลิกฟังรายการที่นี่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาตั้งรกรากในไต้หวันผ่านการแต่งงาน การย้ายถิ่นฐานมากขึ้นเรื่อยๆ ไต้หวันได้กลายเป็นชีวิตบทใหม่ของพวกเขา จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ สิ้นปี 2567 ไต้หวันมีจำนวนประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไต้หวันเกิน 590,000 คน คิดเป็น 2.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของไต้หวัน โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื่องจากจำนวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ. 2549 กระทรวงมหาดไทย ไต้หวันจึงได้ดำเนิน “โครงการศูนย์บริการครอบครัวคู่สมรสต่างชาติ” ภายใต้กองทุนพัฒนาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เมืองต่างๆ ทั่วไต้หวันได้ทยอยจัดตั้งศูนย์บริการครอบครัวคู่สมรสต่างชาติ เดิมทีศูนย์บริการเหล่านี้ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ต่อมาส่วนใหญ่เปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่” หรือ 新住民家庭服務中心 โดยแต่ละเขตเมืองมีจำนวนศูนย์บริการฯและวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันไป ตามทรัพยากรและโครงสร้างของประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในเมืองนั้นๆ
จวบจนปัจจุบัน ทั่วไต้หวันมีศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทั้งหมด 40 แห่ง ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้บริการและช่วยเหลือผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในการแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ของชีวิตประจำวันในไต้หวัน
ศนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทำอะไร?
หลังจากมาถึงไต้หวัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มักเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น การปรับตัวทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ในครอบครัว การมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน การปรับตัวในการใช้ชีวิต อุปสรรคทางภาษา การเลี้ยงดูบุตร การทำงาน รวมถึงกฎระเบียบทางกฎหมาย พวกเขาต้องการเวลาและทรัพยากรเพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ โดยส่วนใหญ่ ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะรู้จักศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่านการแนะนำของญาติมิตรหรือหน่วยงานภาคประชาสังคม และมักติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางโทรศัพท์หรือการเข้ามาสอบถามที่ศูนย์โดยตรง
เฉินซือเจี๋ย (陳思捷) นักสังคมสงเคราะห์ จากศูนย์ส่งเสริมพลังสตรีและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เขตเฟิงหยวน ในนครไทจง ที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์มานานกว่า 7 ปี ได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่หลายคน เธอกล่าวว่า เมื่อครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เผชิญกับความขัดแย้งหรือความเข้าใจผิดอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจภาษาหรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในกรณีเช่นนี้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะให้บริการข้อมูลด้านสวัสดิการสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือช่วยเป็นสื่อกลางในการสื่อสารภายในครอบครัว
เฉินซือเจี๋ยยกตัวอย่างเกี่ยวกับการอยู่ไฟหลังคลอดบุตร ในบางพื้นที่ของเวียดนามมีความเชื่อว่า หากมีผู้มาเยี่ยมแม่หลังคลอดในช่วงอยู่ไฟ ผู้มาเยี่ยมอาจเผชิญกับโชคร้าย แต่สำหรับชาวไต้หวัน การไปเยี่ยมแม่หลังคลอดถือเป็นเรื่องปกติ เป็นการแสดงถึงความห่วงใย ในกรณีเช่นนี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีเจตนาดี แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงสามารถเข้ามาเป็นสื่อกลางช่วยสื่อสาร ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน และหาทางออกที่เหมาะสม นอกจากนี้ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ต้องการได้ข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมอื่นๆ หรือวิธีการยื่นขอทำบัตรประชาชน ไปจนถึงการจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและปัญหาการหย่าร้าง เป็นต้น ก็สามารถสอบถามศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้เช่นกัน
ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้บริการแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา โดยเริ่มตั้งแต่การโทรศัพท์แสดงความห่วงใย และการไปเยี่ยมเยียนที่บ้าน เพื่อให้บริการด้านข้อมูลและทรัพยากรต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือให้บริการตามเคส เชื่อมโยงทรัพยากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในชุมชน เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เข้มแข็ง เช่น การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย บริการล่าม และหลักสูตรปรับตัวในการใช้ชีวิตในไต้หวัน เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ส่วนใหญ่ให้บริการเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ทำงานในแนวหน้า มักสังเกตเห็นว่ากฎหมายบางข้อยังไม่ครอบคลุมความต้องการเร่งด่วนของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เช่น ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นแรกที่อพยพมาไต้หวันในช่วงปี พ.ศ. 2523 ถึง 2533 กำลังเข้าสู่วัย 65 ปี และกำลังเผชิญกับปัญหาการดูแลระยะยาว (Long-term care) แต่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ต้องการรับบริการการดูแลระยะยาวจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีประชาชนไต้หวัน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการดูแลผู้สูงอายุที่รัฐบาลจัดให้ได้ และผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สูงอายุเหล่านี้ ก็อาจไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอในการดำเนินเรื่องขอเอกสารที่ยุ่งยาก ข้อจำกัดด้านสถานะและกฎหมายด้านสวัสดิการสังคม จึงอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตในบั้นปลายของพวกเขา
เมื่อเผชิญกับปัญหาโครงสร้างทางกฎหมายด้านการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เฉินซือเจี๋ยมองว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการระดมความคิดเห็น ปัจจุบัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ถาวรยังคงเข้าถึงบริการดูแลระยะยาวของรัฐได้ยาก ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงมักต้องขอความช่วยเหลือจากภาคประชาสังคม แต่สุดท้ายแล้วนี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว การตัดสินใจทำบัตรประชาชนของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ยังขึ้นอยู่กับกฎหมายสัญชาติของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม เธอหวังว่าระบบสวัสดิการสังคมของไต้หวันจะสามารถครอบคลุมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางให้ได้รับบริการดูแลระยะยาวได้ก่อน
ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ความช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงคำปรึกษาทางกฎหมาย
นอกจากนี้ ทางด้านหวังรุ่ยเซวียน (王睿璿) นักสังคมสงเคราะห์จากศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และศูนย์ส่งเสริมพลังสตรี เขตปั่นเฉียว นครนิวไทเป ก็ชี้ให้เห็นว่า เนื่องจากเมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ย้ายมาอยู่ไต้หวัน พวกเขามักเผชิญกับปัญหาด้านการปรับตัว การหางานทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หน่วยงานที่ให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงควรให้ความสำคัญกับความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่น คนไต้หวันมักจะคิดว่า เมื่อพวกเขาใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่พยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ แต่ในความเป็นจริง การพยักหน้าอาจเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่ากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมด
การจัดกิจกรรมเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทางศูนย์ฯมักจะจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัว การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการเรียนรู้ภาษา โดยการเชิญชวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นโอกาสที่สามารถรับรู้ถึงความต้องการของพวกเขา และเชื่อมโยงไปยังแหล่งทรัพยากรที่เกี่ยวข้องได้ สวีอี่เหวิน(徐乙文) นักสังคมสงเคราะห์จากศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และศูนย์ส่งเสริมพลังสตรี เขตปั่นเฉียว กล่าวว่า พวกเขามักจัดโครงการฝึกอบรมทักษะอาชีพ เสริมสร้างทักษะการเลี้ยงดูบุตร และจัดกลุ่มบำบัดเพื่อผ่อนคลายความเครียด ออกแบบกิจกรรมให้สนุกสนานเพื่อดึงดูดให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ภาระงานที่หลากหลาย ข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร รวมถึงอุปสรรคในการประสานงานข้ามหน่วยงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อบทบาทและการพัฒนาของศูนย์ สวีอี่เหวินกล่าวเสริมอีกว่า ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ยังคงเป็นเรื่องของสัญชาติ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไม่ได้รับสัญชาติไต้หวัน ก็ยากที่จะเข้าถึงสวัสดิการสังคมของไต้หวัน แต่กฎหมายว่าด้วยสัญชาติยังคงเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เผชิญกับอุปสรรคมากมายในการหาทรัพยากรสนับสนุน ส่วนนักสังคมสงเคราะห์ก็ทำได้เพียงพยายามอย่างเต็ม ในการค้นหาทรัพยากรจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำมาช่วยเหลือพวกเขา
เมื่อกล่าวถึงการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับหน่วยงานเครือข่ายต่าง ๆ สวีอี่เหวินชี้ให้เห็นว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถให้ความช่วยเหลือด้านการใช้ชีวิตแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เจ้าหน้าที่ทำงานกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาอย่างยาวนาน จึงมีความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี สามารถให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาจเผชิญกับความยากลำบากในการปรับตัว ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หรือปัญหาด้านการขอคำปรึกษาทางกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ ตลอดจนปัญหาด้านกำแพงภาษา นอกจากนี้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ยังสามารถใช้จุดแข็งของตนเองได้อย่างเต็มที่ ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานในเครือข่าย อาทิ ศูนย์บริการสวัสดิการสังคม ศูนย์ป้องกันความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อให้บริการแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ตามความเชี่ยวชาญ
ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ดำเนินการมากว่า 20 ปี กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญในการสนับสนุนการปรับตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน พร้อมเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี นอกจากการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และกฎหมายแล้ว ทางศูนย์ฯยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาล สังคม และผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องสัญชาติและกฎหมายด้านสวัสดิการยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในอนาคต หวังว่าไต้หวันจะสามารถพัฒนาเครือข่ายการสนับสนุนและสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสร้างสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและหลากหลายสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในไต้หวันมากยิ่งขึ้น
By เจินเจิน - เจนนรี ตันตารา, อโศก ศรีจันทร์, อัญชัน ทรงพุทธิ์, Rtiบันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ นำเอาบทความจากคอลัมน์ opinian ของนิตยสาร CommonWealth มาเล่าสู่กันฟัง บทความนี้มีชื่อว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ช่วยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เชื่อมโยงกับชีวิตในไต้หวันอย่างไร เป็นบทความที่เขียนโดยเสิ่นเจียเหว่ย นักเรียนชั้นปริญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน บรรยายถึงการทำงานของศูนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ในการดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน ตั้งแต่การปรับตัวในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการคำปรึกษาด้านกฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใช้ชีวิตในไต้หวันได้อย่างอุ่นใจ และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับไต้หวัน คลิกฟังรายการที่นี่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาตั้งรกรากในไต้หวันผ่านการแต่งงาน การย้ายถิ่นฐานมากขึ้นเรื่อยๆ ไต้หวันได้กลายเป็นชีวิตบทใหม่ของพวกเขา จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ สิ้นปี 2567 ไต้หวันมีจำนวนประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไต้หวันเกิน 590,000 คน คิดเป็น 2.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของไต้หวัน โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื่องจากจำนวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ. 2549 กระทรวงมหาดไทย ไต้หวันจึงได้ดำเนิน “โครงการศูนย์บริการครอบครัวคู่สมรสต่างชาติ” ภายใต้กองทุนพัฒนาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เมืองต่างๆ ทั่วไต้หวันได้ทยอยจัดตั้งศูนย์บริการครอบครัวคู่สมรสต่างชาติ เดิมทีศูนย์บริการเหล่านี้ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ต่อมาส่วนใหญ่เปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่” หรือ 新住民家庭服務中心 โดยแต่ละเขตเมืองมีจำนวนศูนย์บริการฯและวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันไป ตามทรัพยากรและโครงสร้างของประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในเมืองนั้นๆ
จวบจนปัจจุบัน ทั่วไต้หวันมีศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทั้งหมด 40 แห่ง ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้บริการและช่วยเหลือผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในการแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ของชีวิตประจำวันในไต้หวัน
ศนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทำอะไร?
หลังจากมาถึงไต้หวัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มักเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น การปรับตัวทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ในครอบครัว การมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน การปรับตัวในการใช้ชีวิต อุปสรรคทางภาษา การเลี้ยงดูบุตร การทำงาน รวมถึงกฎระเบียบทางกฎหมาย พวกเขาต้องการเวลาและทรัพยากรเพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ โดยส่วนใหญ่ ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะรู้จักศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่านการแนะนำของญาติมิตรหรือหน่วยงานภาคประชาสังคม และมักติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางโทรศัพท์หรือการเข้ามาสอบถามที่ศูนย์โดยตรง
เฉินซือเจี๋ย (陳思捷) นักสังคมสงเคราะห์ จากศูนย์ส่งเสริมพลังสตรีและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เขตเฟิงหยวน ในนครไทจง ที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์มานานกว่า 7 ปี ได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่หลายคน เธอกล่าวว่า เมื่อครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เผชิญกับความขัดแย้งหรือความเข้าใจผิดอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจภาษาหรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในกรณีเช่นนี้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะให้บริการข้อมูลด้านสวัสดิการสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือช่วยเป็นสื่อกลางในการสื่อสารภายในครอบครัว
เฉินซือเจี๋ยยกตัวอย่างเกี่ยวกับการอยู่ไฟหลังคลอดบุตร ในบางพื้นที่ของเวียดนามมีความเชื่อว่า หากมีผู้มาเยี่ยมแม่หลังคลอดในช่วงอยู่ไฟ ผู้มาเยี่ยมอาจเผชิญกับโชคร้าย แต่สำหรับชาวไต้หวัน การไปเยี่ยมแม่หลังคลอดถือเป็นเรื่องปกติ เป็นการแสดงถึงความห่วงใย ในกรณีเช่นนี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีเจตนาดี แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงสามารถเข้ามาเป็นสื่อกลางช่วยสื่อสาร ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน และหาทางออกที่เหมาะสม นอกจากนี้ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ต้องการได้ข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมอื่นๆ หรือวิธีการยื่นขอทำบัตรประชาชน ไปจนถึงการจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและปัญหาการหย่าร้าง เป็นต้น ก็สามารถสอบถามศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้เช่นกัน
ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้บริการแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา โดยเริ่มตั้งแต่การโทรศัพท์แสดงความห่วงใย และการไปเยี่ยมเยียนที่บ้าน เพื่อให้บริการด้านข้อมูลและทรัพยากรต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือให้บริการตามเคส เชื่อมโยงทรัพยากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในชุมชน เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เข้มแข็ง เช่น การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย บริการล่าม และหลักสูตรปรับตัวในการใช้ชีวิตในไต้หวัน เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ส่วนใหญ่ให้บริการเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ทำงานในแนวหน้า มักสังเกตเห็นว่ากฎหมายบางข้อยังไม่ครอบคลุมความต้องการเร่งด่วนของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เช่น ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นแรกที่อพยพมาไต้หวันในช่วงปี พ.ศ. 2523 ถึง 2533 กำลังเข้าสู่วัย 65 ปี และกำลังเผชิญกับปัญหาการดูแลระยะยาว (Long-term care) แต่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ต้องการรับบริการการดูแลระยะยาวจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีประชาชนไต้หวัน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการดูแลผู้สูงอายุที่รัฐบาลจัดให้ได้ และผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สูงอายุเหล่านี้ ก็อาจไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอในการดำเนินเรื่องขอเอกสารที่ยุ่งยาก ข้อจำกัดด้านสถานะและกฎหมายด้านสวัสดิการสังคม จึงอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตในบั้นปลายของพวกเขา
เมื่อเผชิญกับปัญหาโครงสร้างทางกฎหมายด้านการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เฉินซือเจี๋ยมองว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการระดมความคิดเห็น ปัจจุบัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ถาวรยังคงเข้าถึงบริการดูแลระยะยาวของรัฐได้ยาก ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงมักต้องขอความช่วยเหลือจากภาคประชาสังคม แต่สุดท้ายแล้วนี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว การตัดสินใจทำบัตรประชาชนของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ยังขึ้นอยู่กับกฎหมายสัญชาติของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม เธอหวังว่าระบบสวัสดิการสังคมของไต้หวันจะสามารถครอบคลุมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางให้ได้รับบริการดูแลระยะยาวได้ก่อน
ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ความช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงคำปรึกษาทางกฎหมาย
นอกจากนี้ ทางด้านหวังรุ่ยเซวียน (王睿璿) นักสังคมสงเคราะห์จากศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และศูนย์ส่งเสริมพลังสตรี เขตปั่นเฉียว นครนิวไทเป ก็ชี้ให้เห็นว่า เนื่องจากเมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ย้ายมาอยู่ไต้หวัน พวกเขามักเผชิญกับปัญหาด้านการปรับตัว การหางานทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หน่วยงานที่ให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงควรให้ความสำคัญกับความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่น คนไต้หวันมักจะคิดว่า เมื่อพวกเขาใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่พยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ แต่ในความเป็นจริง การพยักหน้าอาจเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่ากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมด
การจัดกิจกรรมเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทางศูนย์ฯมักจะจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัว การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการเรียนรู้ภาษา โดยการเชิญชวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นโอกาสที่สามารถรับรู้ถึงความต้องการของพวกเขา และเชื่อมโยงไปยังแหล่งทรัพยากรที่เกี่ยวข้องได้ สวีอี่เหวิน(徐乙文) นักสังคมสงเคราะห์จากศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และศูนย์ส่งเสริมพลังสตรี เขตปั่นเฉียว กล่าวว่า พวกเขามักจัดโครงการฝึกอบรมทักษะอาชีพ เสริมสร้างทักษะการเลี้ยงดูบุตร และจัดกลุ่มบำบัดเพื่อผ่อนคลายความเครียด ออกแบบกิจกรรมให้สนุกสนานเพื่อดึงดูดให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ภาระงานที่หลากหลาย ข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร รวมถึงอุปสรรคในการประสานงานข้ามหน่วยงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อบทบาทและการพัฒนาของศูนย์ สวีอี่เหวินกล่าวเสริมอีกว่า ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ยังคงเป็นเรื่องของสัญชาติ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไม่ได้รับสัญชาติไต้หวัน ก็ยากที่จะเข้าถึงสวัสดิการสังคมของไต้หวัน แต่กฎหมายว่าด้วยสัญชาติยังคงเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เผชิญกับอุปสรรคมากมายในการหาทรัพยากรสนับสนุน ส่วนนักสังคมสงเคราะห์ก็ทำได้เพียงพยายามอย่างเต็ม ในการค้นหาทรัพยากรจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำมาช่วยเหลือพวกเขา
เมื่อกล่าวถึงการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับหน่วยงานเครือข่ายต่าง ๆ สวีอี่เหวินชี้ให้เห็นว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถให้ความช่วยเหลือด้านการใช้ชีวิตแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เจ้าหน้าที่ทำงานกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาอย่างยาวนาน จึงมีความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี สามารถให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาจเผชิญกับความยากลำบากในการปรับตัว ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หรือปัญหาด้านการขอคำปรึกษาทางกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ ตลอดจนปัญหาด้านกำแพงภาษา นอกจากนี้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ยังสามารถใช้จุดแข็งของตนเองได้อย่างเต็มที่ ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานในเครือข่าย อาทิ ศูนย์บริการสวัสดิการสังคม ศูนย์ป้องกันความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อให้บริการแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ตามความเชี่ยวชาญ
ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ดำเนินการมากว่า 20 ปี กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญในการสนับสนุนการปรับตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน พร้อมเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี นอกจากการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และกฎหมายแล้ว ทางศูนย์ฯยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาล สังคม และผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องสัญชาติและกฎหมายด้านสวัสดิการยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในอนาคต หวังว่าไต้หวันจะสามารถพัฒนาเครือข่ายการสนับสนุนและสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสร้างสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและหลากหลายสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในไต้หวันมากยิ่งขึ้น