Share Camouflage - Dhamma Talk
Share to email
Share to Facebook
Share to X
บรรยายเมื่อ 16-11-2024
ความปลอดภัยที่สูงสุด คือ ความไม่ต้องแสวงหาอะไรเลย
ไว้ใจธรรมชาติที่เป็นอยู่ทั้งหมดของชีวิตในตอนนี้ ... ไว้ใจมัน
ไว้ใจการนอนไม่หลับ อย่าตัดสินมัน ว่ามันเป็นอาการป่วย หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ไว้ใจสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ทั้งหมด
นอนไม่หลับ ก็นอนไม่หลับ
ไว้ใจว่า ชีวิตในขณะนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว กับการเป็นแบบนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับชีวิตนี้แล้ว ในขณะนี้
ไว้ใจสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมด นั่นคือความมั่นคงปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่พยายามแก้ให้เป็นไปอย่างที่เราคิด
ความไว้ใจ กับขณะนี้ ที่เป็นอยู่ทั้งหมดนี้ ไม่มีความคาดหวัง
ถ้ามันคาดหวัง ว่ามันจะดีกว่าตอนนี้ นั่นแปลว่า ไม่ไว้ใจ
ความไว้ใจเป็นตัวแทนของความรัก
หัวใจที่มีความรัก จึงจะสามารถไว้ใจได้
แต่เพราะหัวใจที่ขาด จึงไม่สามารถไว้ใจสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดได้
หัวใจที่ขาด เป็นคุณสมบัติของหัวใจที่ไม่ไว้ใจ จึงเป็นคุณสมบัติของหัวใจที่แสวงหาของมาเติมเต็ม
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นหัวใจที่ขาด เราจึงต้องแสวงหา
และถ้าเราไม่เห็นแบบนี้ มันก็จะขาด...ไม่ไว้ใจ และก็แสวงหา วนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น
ตอนนี้เหลืออยู่ทางเดียว คือ ต้องเปลี่ยนหัวใจ
จากหัวใจที่ขาดความรัก เป็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งนั่นหมายถึง ความไว้ใจต่อสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ แค่นั้น
ถาม : ก็คือให้กลับมารักตัวเอง?
ตอบ : ไม่ใช่ตัวเอง แต่รักสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ ไว้ใจให้มันเป็นไป
ความไว้ใจ ไม่ใช่เพียงแค่ ไว้ใจการนอนไม่หลับ แต่ไว้ใจความกลัวที่เกิดขึ้นด้วย ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
ให้ใจเหมือนแผ่นดิน คือหมายความว่า ปลูกอะไรก็งอกงาม
ความกลัวก็งอกงาม ความกังวลก็งอกงาม ...ต่างๆ งอกงาม ใจกว้างให้มันงอกงาม
ไม่ต้องไปพยายามจะขจัดมันทิ้ง หรือจัดการมัน หรือทำอะไรกับมันทั้งนั้น
ดูมันงอกงาม แค่นั้น
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรงอกงามในผืนแผ่นดินนี้ จะเป็นสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบ ดูมันเฉยๆ ให้มันงอกงาม
ไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งนั้น ว่าเดี๋ยวมันคงหายไปมั้ง เดี๋ยวมันคงดับไปมั้ง เดี๋ยวมันคงดีขึ้น... ไม่ต้อง
ถ้าเป็นแบบนั้น แปลว่า ใจไม่กว้างพอ ใช่มั้ย
ใจกว้างๆ ไปเลย ให้มันงอกงามไป
เราแค่รับรู้ ความเป็นไปของมัน แค่นั้น
ไม่ต้องไปตัดสินมัน
เพราะทันทีที่เราตัดสิน ว่าอันนี้เป็นความกลัว อันนี้เป็นความนอนไม่หลับ มันจะทันทีเลย แล้วบอกว่าอันนี้ไม่ดี ไม่อยากเป็นแบบนี้ และนั่นแหละ ปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงนั้น
ใจเราไม่กว้างอีกแล้ว ไม่ไว้ใจอีกแล้ว
ให้มันเติบโตขึ้นมา ดูมันเหมือนดูละคร ให้มันแสดง ดูซิมันจะแสดงอะไรบ้าง
เราแค่อยู่เฉยๆ นอนดูไป สบายจะตาย เหมือนนอนดูหนัง
….
มีหลายมุมให้มอง อย่าใช้ชีวิตตามความเคยชิน...มันคับแคบ
ความรู้ทุกความรู้ รู้แล้ว จะต้องทิ้งไป
เพราะถ้าเราเก็บมันไว้ ในมุมนึงที่ผมเคยบอกว่า มันคืออดีต แล้วเอามาใช้ในปัจจุบัน
แต่ในมุมวันนี้ที่ผมพูด อีกมุมนึงให้เห็นก็คือ ความรู้นั้น ไม่ว่ามันจะดีแค่ไหนในการมองปัญหา มันจะเป็นความเคยชิน และทำให้การมองปัญหาทั้งหมดคับแคบทันที
ไม่ว่าความรู้นั้น จะกว้างแค่ไหนก็ตาม มันก็แคบ
การเผชิญกับสถานการณ์ ในแต่ละขณะอย่างเป็นปัจจุบัน นั่นคือความใหม่ที่สุด นั่นคือการที่ไม่ได้ยึดถือองค์ความรู้อะไรเอาไว้
เราจะมองปัญหาขณะนี้ ใหม่ที่สุด
แล้วฟังเสียงของปัญญานั้น
แต่ถ้าไม่มีเสียงของปัญญา ก็อย่าเพิ่งทำอะไร
เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรที่เป็นความเคยชิน เพราะนั่นเป็นแค่การ Repeat ของเก่าๆ ซ้ำไป ซ้ำมา
แล้วพอของเก่า มันเข้ามากินพื้นที่ชีวิตแล้ว ของใหม่ก็เกิดไม่ได้
เราก็จะได้รสชาติแต่ของเก่าๆ ที่เราเป็น
แล้วเราก็อาจจะเบื่อ เซ็ง ทุกข์ กลัว สารพัดที่จะเกิดขึ้น
หลังจากนั้น เราก็ใช้หัวใจนั้น แสวงหา แก้ปัญหา Action ต่างๆ นานา
ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่การแก้ปัญหา หรือแสวงหาอะไรจากหัวใจอันนั้น
แต่เพียงแค่เลิกใช้หัวใจอันนั้นเฉยๆ
แล้ว Action ใหม่ในชีวิตจะเกิดขึ้นเอง
#Camouflage
16-11-2024
บรรยายเมื่อ 28-10-2567
ทำยังไงที่จะทำให้ หัวใจไม่อยู่ภายใต้สมอง?
ที่ผมเคยสอนตั้งแต่ในอดีต ผมพูดอยู่เสมอว่า “เราทุกคนต้องมีปัญญานำชีวิต”
และปัญญานำชีวิตนั้น เกิดขึ้นจากจิตที่มันว่าง
จิตที่ว่าง ไม่ใช่ว่างเปล่า แต่หมายถึง เป็นจิตที่พ้นจากความเชื่อทั้งหมด ที่ผมให้ทุกคนแจ่มแจ้ง
เพราะฉะนั้น จะมาถึงจิตที่ว่าง (ซึ่งเป็นสมมติชื่อนี้) นั่นหมายถึงว่า มนุษย์คนนึงต้องแจ่มแจ้งสิ่งหลอกลวงทั้งหมด ความเชื่อทั้งหมด ความกลัวทั้งหมด ความอยู่ในอดีต อนาคตทั้งหมด ความเคยชินทั้งหมด ความหลงทั้งหมด
เราถึงจะมีจิตนั้นได้ ที่เรียกว่า วัตถุดิบ ที่เป็นที่ก่อเกิดแห่งปัญญานำชีวิต และนั่นคือหัวใจ
ปัญญาคือหัวใจ ไม่ใช่สมอง
สมองเป็นแค่ความกลัว เขาถึงเรียกว่า กลัวจนขี้ขึ้นสมอง กลัวตาย กลัวป่วย กลัวเจ็บ กลัวจะเป็นอย่างนั้น กลัวจะเป็นอย่างนี้ เหล่านี้ทั้งหมดเป็นแค่ความเคยชินของสมองที่จะบีบให้เราทำนี่ ทำนั่น จนเป็นบ้า
แล้วเราก็อยู่ในความเคยชินเก่าๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตจนตาย เราก็จะทำอย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้น เราจะไม่มีวันพบแสงสว่างของปัญญาในการดำเนินชีวิต เพราะเราเคยชินจะอยู่กับของเก่า
...
เราเคยชินจะทำตามความกลัว เพราะความกลัวจะให้ความรู้สึกปลอดภัย
นั่นหมายถึงว่า เราไม่เคยมีชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด
คำว่า “ไร้ขีดจำกัด” นั่นคืออิสรภาพ นั่นคือความเปิดกว้างมากที่จะให้สิ่งใหม่เกิดขึ้นในชีวิตได้
เพราะว่าสิ่งใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าชีวิตอยู่ในความเคยชินของความกลัว มันจะเป็นแค่การรีไซเคิลของเก่า
กลัวปุ๊บ ก็จะคิดแต่ของเก่า แล้วก็รีไซเคิล แล้วก็ทำใหม่ ทำใหม่ และคิดว่ามันเป็นอันใหม่
แต่จริงๆ มันไม่ใหม่ มันเก่า
จะรีไซเคิลอีกที มันก็เก่า
#Camouflage
25-10-2567
บรรยายเมื่อ 24-08-2567
บรรยายเมื่อ 05&19-10-2567
บรรยายเมื่อ 04-09-2567
บรรยายเมื่อ 05-05-2567
ผมแค่ต้องการมีชีวิตที่ ไม่ถูกอิทธิพลของความไม่จริงครอบงำชีวิต แค่นั้น
เราใช้คำว่า ครอบงำ แปลว่าของที่มาครอบงำนั้น ต้องเป็นของที่ไม่จริง
เช่น ตอนนี้มีกิเลส แล้วผมมีความคิดว่า ผมจะทำยังไงดี ที่จะไม่มีกิเลสตัวนี้ซักทีนึง
สำหรับผม วิธีคิดแบบนี่แหละ คือความครอบงำ
และผมเห็นความครอบงำนั้น ทันทีที่เห็น ผมก็พ้นจากความครอบงำนั้น
แล้วผมจึงมีความสามารถที่จะเผชิญกับกิเลสได้อย่างแท้จริง
และผมศึกษามัน เรียนรู้มัน ว่ามันคืออะไร และนี่คือความสามารถที่เรียกว่า การเห็นตามเป็นจริง
...
ความไม่ทุกข์ มันง่าย ๆ มันมีอยู่แล้ว
มันไม่ใช่การที่ใครสักคนกำลังปฏิบัติเพื่อจะไปถึงที่นั่น เพราะที่นั่นมันมีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพยายามหาทางจะไปถึง
แต่สิ่งที่มันมีอยู่ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งมีมากกว่าความไม่ทุกข์ นั่นคือความทุกข์ คือกิเลสทั้งหลายที่มีอยู่นี้
เรามีความสามารถจะเข้าใจมันได้มั้ย ?
จะแจ่มแจ้งมันได้มั้ย ว่ามันคืออะไร ?
ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ทุกข์ เรารู้มั้ย?
ทุกวันนี้เรารู้ทุกข์มั้ย?
สภาพไม่ทุกข์ ... ไม่ต้องทำ
เบื้องต้น ผมชี้ให้เห็น เพื่อให้คนเหล่านั้นออกมาจากการปฏิบัติ ที่มีหัวใจที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ ซึ่งไม่ต้องทำแบบนั้น มันมีอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ต้องทำ คือ แจ่มแจ้งสิ่งที่มีอยู่ ที่มันอยู่ในชีวิตเรา ที่มันให้ทุกข์ ให้สุข ให้ความรู้สึกต่าง ๆ
แจ่มแจ้งมันว่า มันคืออะไร
นี่คืองานของเรา
#Camouflage
บรรยายเมื่อ 21-04-2567
ความไม่เป็นอะไร กับอะไร แท้จริงมันคืออะไร?
คือความสามารถของชีวิตที่จะเป็นได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเลย
ถ้านักปฏิบัติธรรมเราคนนึงมีความโกรธเกิดขึ้นในใจ อย่างรุนแรง อย่างปานกลาง อย่างเล็กน้อย
สังเกตไหมว่า เรามีความเห็นต่อความมีอยู่ของมัน ในเชิงของการประเมิน ตัดสิน
เหล่านั้นทั้งหมด คือ #ความขัดแย้ง
ปัญหาถัดไปก็คือว่า ทำไมถึงเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน?
เพราะชีวิตนั้น ยังมืดบอดด้วยอวิชชา
ซึ่งความมืดบอดนั้นคือ ทิฏฐิ ความเชื่อ สิ่งที่ควรจะเป็น คืออนาคต คือการตัดสินอะไรต่าง ๆ มากมาย
และความขัดแย้งภายในนั้นเอง คือความที่ชีวิตไม่มี #ความกระจ่างชัด
ความกระจ่างชัดของชีวิตนี้มีอยู่แล้ว โดยเนื้อแท้ของชีวิตเป็นความกระจ่างชัด
แต่มันถูกปกคลุมด้วยความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอวิชชาในรูปแบบต่าง ๆ
และนี่คือเหตุผลที่ทำไมคนคนนึง จึงต้องมี #ความแจ่มแจ้งต่อทุกย่างก้าวของชีวิต
ความแจ่มแจ้งนั้นเอง คือ ขณะแห่งการขัดเกลา
ความแจ่มแจ้งในขณะนั้นเอง คือ ขณะแห่งการจบสิ้นความขัดแย้งของชีวิต
และผมไม่ได้ Demand ต้องการ ให้ใครสักคนหนึ่งไปฝึกอะไร แล้วถึงค่อยมาแจ่มแจ้ง
เพราะความแจ่มแจ้งนั้น สามารถเริ่มต้นได้ทันที ตั้งแต่ขณะนี้
เรามีวัตถุดิบทุกอย่างพร้อมอยู่เสมอที่จะแจ่มแจ้ง
ถ้าเราพูดในเชิงสัมพัทธ์ เราประเมินตัวเองว่า เราวัตถุดิบน้อย
ผมบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มจากเรื่องทุกเรื่อง ที่เล็กๆ
การคิด...ทำไมคิดแบบนี้ ?
การพูด...ทำไมพูดแบบนี้ ?
การทำ...ทำไมทำแบบนี้ ?
การตอบโต้ Response Reaction ต่างๆ…ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมถึงมีการ Action แบบนี้ ?
เราไม่ต้องการวัตถุดิบอะไรเลยในแบบที่เราพยายามจะฝึกกัน ต้องการใช้อย่างเดียว คือ #ความใส่ใจต่อชีวิตนี้
และผมบอกว่า ทุกคนมีสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว มันอยู่ที่เราจะใส่ใจมั้ย แค่นั้น
...
ความเป็นคนดี ก็ยากระดับหนึ่ง
ความเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็ยากอีกระดับหนึ่ง
แต่ความสามารถในการเป็นทุกอย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีความขัดแย้ง นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด
คนดี ไม่อยากเป็นคนไม่ดี
คนบริสุทธิ์ ไม่อยากเป็นคนไม่บริสุทธิ์
มันจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับคนเหล่านี้ ที่จะสามารถเป็นทุกอย่าง อย่างสมบูรณ์ได้
เราเลือกจะเป็นความไม่เป็นอะไร กับอะไรได้ ซึ่งยังง่ายกว่า ความเป็นทุกอย่าง อย่างสมบูรณ์ได้
#Camouflage
บรรยายเมื่อ 06-04-2567
ชีวิตเราเลือกสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล ด้วยการได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต
แต่ส่วนที่สำคัญกว่า คือ การเท่าทันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด หรือที่ผมสอนว่า “แจ่มแจ้ง”
แล้วปัญญา หรือทิศทางที่จะรู้ว่าต้องเลือกไปทางไหน จึงจะเกิดขึ้น
และนั่นหมายความว่า มันจะเกิดชีวิตที่ไม่ต้องเลือก
เพราะมันเป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว ว่าจะต้องเลือกแบบไหน
ทำไมเราต้องมีชีวิตที่แจ่มแจ้ง?
เพราะชีวิตเป็นความสับสนอยู่ตลอดเวลา กับสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย
และเราต้องเลือกอยู่เสมอในชีวิตของเรา
เราต้องเห็นโครงสร้างใหญ่แบบนี้
ชีวิตของเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ และตลอดชีวิตของเราต้องเลือก และเราเลือกด้วยการชั่งน้ำหนักของเหตุผลต่าง ๆ นานา
ซึ่งเหตุผลก็เป็นความกระจ่าง ในสิ่งที่เราตัดสินใจในระดับหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เราก็ใช้วิธีนั้นมาตลอด เพื่อจะตอบตัวเองได้ ตอบคนอื่นได้ ในการที่เราเลือกทำอะไรสักอย่างนึง
ถ้าเราสัมผัสจริง ๆ รู้สึกจริง ๆ เราจะรู้ได้ว่า การใช้เหตุผลในการเลือกทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ลึก ๆ มันก็ยังเป็นความสับสนอยู่เหมือนกัน ว่าจริง ๆ แล้วมันถูกไหม
เพราะเราจะพบว่า เหตุผลของเรา กับเหตุผลของคนอื่น ไม่เหมือนกัน
ถ้าคนที่เค้าเชื่อเหมือน ๆ เรา เค้าก็อาจจะคิดเหมือนกับเรา แต่คนที่เค้าเชื่อไม่เหมือนเรา เค้าก็คิดอีกอย่างหนึ่ง
ถ้าเราเห็นโครงสร้างแบบนี้ของชีวิต เราก็จะพบว่า ชีวิตนั้นจะพึ่งพาแต่ความมีเหตุผลในแบบที่เราคิด และทำมาตลอด มันก็ดูจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะคอนแคลน และไม่ค่อยน่ามั่นใจเท่าไหร่ และเป็นความรู้สึกว่าไม่จริง
ถ้าเราเห็นโครงสร้างของชีวิตอันนี้ ชีวิตนั้นจะเริ่มเปิด Dimension ที่ผมบอก ก็คือ Dimension ของปัญญา ที่เกิดขึ้นจากชีวิตที่ไม่ต้องเลือก
...
ผมสอนให้เราแจ่มแจ้งความจริงที่มันปรากฏอยู่ในชีวิตของเรา เช่น ผมบอกว่า ชีวิตของเรามีสัมพันธภาพ มีปฏิสัมพันธ์กับหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน พี่น้อง และหลายอย่างเราต้องเลือกในการดำเนินชีวิต
แต่คนเราไม่เห็นโครงสร้างของการเลือกว่า มันเป็นทุกข์ยังไง มันคอนแคลนยังไง มันยังไม่จริงยังไง
นี่คือประเด็นสำคัญ เพราะคนเราไม่เคยเห็นความเป็นอย่างนี้ของมัน เราจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แบบนี้ ตลอดเวลา
และนั่นก็เป็นที่มาของ...เมื่อเราเลือกอะไรบางอย่างแล้ว ทิฏฐิ ความเชื่อ ความยึดมั่นในสิ่งที่เราเลือก ก็ก่อตัวขึ้น
เมื่อเราเลือก มันต้องถูก เมื่อเราเลือก เรามีเหตุผล
เราต้องเห็นทั้งหมดนี้ เห็นนัยยะบอกมันว่า โครงสร้างชีวิตที่ดูเหมือนจะธรรมดา ที่เราใช้กันอยู่ และมันก็ไม่มีอะไรผิด ใคร ๆ เค้าก็ทำแบบนี้ ใคร ๆ ก็ต้องมีเหตุผล ต้องรู้จักเลือก
เราใช้ชีวิตตื้น ๆ แบบนั้น เราจึงไม่เห็นโครงสร้างใหญ่แบบนี้ ว่ามันส่งผลอะไรบ้าง
เพราะฉะนั้น ผมอยากให้พวกเราทุกคนแจ่มแจ้งกับชีวิต เช่นตัวอย่างแบบนี้ จากเล็ก ๆ เรื่องธรรมดาในชีวิต แต่แจ่มแจ้งโครงสร้างของมันทั้งหมด ว่ามันสร้างอะไรบ้างที่เป็นผลเสีย หรือที่ผมพูดว่า เป็นทิฏฐิ ความยึดมั่นทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิต และเราเห็นทั้งหมดนั้น
มนุษย์คนนึงเมื่อเห็นทั้งหมดนั้น สมอง หัวใจ ชีวิต มันรับรู้ รู้สึกถึงทางตันของมัน ที่มันเคยทำอย่างนี้ตลอดชีวิต
แล้วมันจึงสามารถมีความสร้างสรรค์ที่จะเปิด Dimension ใหม่ของชีวิตขึ้นมา ที่ผมเรียกว่า “ปัญญา”
#Camouflage
บรรยายเมื่อ 06-04-2567
358.อิสรภาพในการมีชีวิต
การปฏิบัติธรรมจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อคนเรามีความสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้
และความสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราแจ่มแจ้งความครอบงำทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของเรานี้เอง
และความสามารถจะแจ่มแจ้งความครอบงำทั้งหมดที่มีในชีวิตของเรานี้เอง นั่นคือ การที่คนคนนึงรู้จักตัวเอง
การรู้จักตัวเองจึงไม่ตกอยู่ภายใต้จิตใจของมนุษย์คนหนึ่ง ที่ตัดสินตัวเองด้วยคำพูดบางอย่าง ความหมายบางอย่าง และมีนัยยะซ่อนเร้น ที่อยากจะดีกว่านี้ซ่อนอยู่
การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่ว่ามันดี มันมีเหตุผล มันควรจะทำ…ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น
สำหรับผม #การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนบอกผมว่าควรจะทำ แต่ผมรู้จากชีวิตของผมเลยว่า ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะต้องมีชีวิตจริง ๆ แค่นั้น
การจะมีชีวิตจริง ๆ แค่นั้น ไม่ใช่การที่ผมจะกลายเป็นอะไร แต่เป็นแค่ความรู้สึกว่า ผมมีอิสรภาพในการมีชีวิต ไม่ใช่อิสรภาพที่ผมจะไปทำอะไรก็ได้
แต่เป็นชีวิตที่พ้นจากความครอบงำทั้งหมดที่สังคม โลกมนุษย์นี้ ให้กับเราตั้งแต่เด็กจนโต
และความที่ชีวิตสามารถมีอิสรภาพแบบที่ผมพูดได้ นั่นคือ “ชีวิตมีอิสรภาพ ไม่ใช่ผมอิสรภาพ” นั่นคือสัจธรรมสูงสุดของชีวิตนี้
อิสรภาพนั่นเอง คือตัวแทนของนิพพาน สิ่งที่เราอยากจะไปถึง สิ่งที่เราถวิลหา และมองว่ามันเป็นยังไง ให้ความหมายมันว่าเป็นยังไง ในเงื่อนไขต่าง ๆ นานา เช่น ไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลส หรืออะไรก็ตามที่เราให้ความหมายกับมันว่าบริสุทธิ์หรืออะไรก็ว่าไป สิ่งที่เราคิด ไม่ใช่สิ่งนั้น
ความว่าง หรือนิพพาน คือ สิ่งที่โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระ
นั่นหมายความว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ไม่มีใครสักคนให้เงื่อนไขกับมัน ไม่มีใครสักคนควบคุมมัน ไม่มีใครสักคนตัดสินมัน
มันมีอิสรภาพที่จะก่อเกิด กำเนิด ตาย และแปรเปลี่ยน ไปได้อย่างหลากหลาย อย่างที่ไร้ข้อจำกัด และนั่นคืออำนาจของนิพพาน
และนั่นคือความหมายที่ผมบอกว่า ทำไมผมถึงสอนให้ทุกคนแค่รู้จักตัวเอง
เรานึกว่าการจะไปถึงนิพพาน เราต้องปฏิบัติธรรมในหลากหลายรูปแบบที่เราเคยเรียนมา ไม่ว่าสายไหน นิกายไหน
แต่มันแอบซ่อนความที่เราจะเป็น เราจะเอาอะไรบางอย่าง การแอบตัดสินสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซ่อนอยู่ตลอดเวลา เราต้องเห็นแบบนั้น
#Camouflage
The podcast currently has 519 episodes available.
2,281 Listeners
60 Listeners
1,099 Listeners
2 Listeners