By Camouflagetalk
Dhamma Talk by Ajahn Camouflage, more info camouflagetalk.com
บรรยายเมื่อ 05-05-2567 ผมแค่ต้องการมีชีวิตที่ ไม่ถูกอิทธิพลของความไม่จริงครอบงำชีวิต แค่นั้น เราใช้คำว่า ครอบงำ แปลว่าของที่มาครอบงำนั้น ต้องเป็นของที่ไม่จริง เช่น ตอนนี้มีกิเลส แล้วผมมีความคิดว่า ผมจะทำยังไงดี ที่จะไม่มีกิเลสตัวนี้ซักทีนึง สำหรับผม วิธีคิดแบบนี่แหละ คือความครอบงำ และผมเห็นความครอบงำนั้น ทันทีที่เห็น ผมก็พ้นจากความครอบงำนั้น แล้วผมจึงมีความสามารถที่จะเผชิญกับกิเลสได้อย่างแท้จริง และผมศึกษามัน เรียนรู้มัน ว่ามันคืออะไร และนี่คือความสามารถที่เรียกว่า การเห็นตามเป็นจริง ... ความไม่ทุกข์ มันง่าย ๆ มันมีอยู่แล้ว มันไม่ใช่การที่ใครสักคนกำลังปฏิบัติเพื่อจะไปถึงที่นั่น เพราะที่นั่นมันมีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพยายามหาทางจะไปถึง แต่สิ่งที่มันมีอยู่ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งมีมากกว่าความไม่ทุกข์ นั่นคือความทุกข์ คือกิเลสทั้งหลายที่มีอยู่นี้ เรามีความสามารถจะเข้าใจมันได้มั้ย ? จะแจ่มแจ้งมันได้มั้ย ว่ามันคืออะไร ? ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ทุกข์ เรารู้มั้ย? ทุกวันนี้เรารู้ทุกข์มั้ย?หรือมัวแต่สนใจแต่จะรู้สภาพที่ไม่ทุกข์ สภาพไม่ทุกข์ ... ไม่ต้องทำ ผมชี้ให้เห็นเลยว่า มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย เบื้องต้น ผมชี้ให้เห็น เพื่อให้คนเหล่านั้นออกมาจากการปฏิบัติ ที่มีหัวใจที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ ซึ่งไม่ต้องทำแบบนั้น มันมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำ...
บรรยายเมื่อ 21-04-2567 ความไม่เป็นอะไร กับอะไร แท้จริงมันคืออะไร? คือความสามารถของชีวิตที่จะเป็นได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเลย ถ้านักปฏิบัติธรรมเราคนนึงมีความโกรธเกิดขึ้นในใจ อย่างรุนแรง อย่างปานกลาง อย่างเล็กน้อย สังเกตไหมว่า เรามีความเห็นต่อความมีอยู่ของมัน ในเชิงของการประเมิน ตัดสิน เหล่านั้นทั้งหมด คือ #ความขัดแย้ง ปัญหาถัดไปก็คือว่า ทำไมถึงเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน? เพราะชีวิตนั้น ยังมืดบอดด้วยอวิชชา ซึ่งความมืดบอดนั้นคือ ทิฏฐิ ความเชื่อ สิ่งที่ควรจะเป็น คืออนาคต คือการตัดสินอะไรต่าง ๆ มากมาย และความขัดแย้งภายในนั้นเอง คือความที่ชีวิตไม่มี #ความกระจ่างชัด ความกระจ่างชัดของชีวิตนี้มีอยู่แล้ว โดยเนื้อแท้ของชีวิตเป็นความกระจ่างชัด แต่มันถูกปกคลุมด้วยความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอวิชชาในรูปแบบต่าง ๆ และนี่คือเหตุผลที่ทำไมคนคนนึง จึงต้องมี #ความแจ่มแจ้งต่อทุกย่างก้าวของชีวิต ความแจ่มแจ้งนั้นเอง คือ ขณะแห่งการขัดเกลา ความแจ่มแจ้งในขณะนั้นเอง คือ ขณะแห่งการจบสิ้นความขัดแย้งของชีวิต และผมไม่ได้ Demand ต้องการ ให้ใครสักคนหนึ่งไปฝึกอะไร แล้วถึงค่อยมาแจ่มแจ้ง เพราะความแจ่มแจ้งนั้น สามารถเริ่มต้นได้ทันที ตั้งแต่ขณะนี้ เรามีวัตถุดิบทุกอย่างพร้อมอยู่เสมอที่จะแจ่มแจ้ง ถ้าเราพูดในเชิงสัมพัทธ์...
บรรยายเมื่อ 06-04-2567 ชีวิตเราเลือกสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล ด้วยการได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต แต่ส่วนที่สำคัญกว่า คือ การเท่าทันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด หรือที่ผมสอนว่า “แจ่มแจ้ง” แล้วปัญญา หรือทิศทางที่จะรู้ว่าต้องเลือกไปทางไหน จึงจะเกิดขึ้น และนั่นหมายความว่า มันจะเกิดชีวิตที่ไม่ต้องเลือก เพราะมันเป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว ว่าจะต้องเลือกแบบไหน ทำไมเราต้องมีชีวิตที่แจ่มแจ้ง? เพราะชีวิตเป็นความสับสนอยู่ตลอดเวลา กับสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย และเราต้องเลือกอยู่เสมอในชีวิตของเรา เราต้องเห็นโครงสร้างใหญ่แบบนี้ ชีวิตของเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ และตลอดชีวิตของเราต้องเลือก และเราเลือกด้วยการชั่งน้ำหนักของเหตุผลต่าง ๆ นานา ซึ่งเหตุผลก็เป็นความกระจ่าง ในสิ่งที่เราตัดสินใจในระดับหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เราก็ใช้วิธีนั้นมาตลอด เพื่อจะตอบตัวเองได้ ตอบคนอื่นได้ ในการที่เราเลือกทำอะไรสักอย่างนึง ถ้าเราสัมผัสจริง ๆ รู้สึกจริง ๆ เราจะรู้ได้ว่า การใช้เหตุผลในการเลือกทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ลึก ๆ มันก็ยังเป็นความสับสนอยู่เหมือนกัน ว่าจริง ๆ...
บรรยายเมื่อ 06-04-2567 358.อิสรภาพในการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อคนเรามีความสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้ และความสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราแจ่มแจ้งความครอบงำทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของเรานี้เอง และความสามารถจะแจ่มแจ้งความครอบงำทั้งหมดที่มีในชีวิตของเรานี้เอง นั่นคือ การที่คนคนนึงรู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองจึงไม่ตกอยู่ภายใต้จิตใจของมนุษย์คนหนึ่ง ที่ตัดสินตัวเองด้วยคำพูดบางอย่าง ความหมายบางอย่าง และมีนัยยะซ่อนเร้น ที่อยากจะดีกว่านี้ซ่อนอยู่ การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่ว่ามันดี มันมีเหตุผล มันควรจะทำ…ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น สำหรับผม #การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนบอกผมว่าควรจะทำ แต่ผมรู้จากชีวิตของผมเลยว่า ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะต้องมีชีวิตจริง ๆ แค่นั้น การจะมีชีวิตจริง ๆ แค่นั้น ไม่ใช่การที่ผมจะกลายเป็นอะไร แต่เป็นแค่ความรู้สึกว่า ผมมีอิสรภาพในการมีชีวิต ไม่ใช่อิสรภาพที่ผมจะไปทำอะไรก็ได้ แต่เป็นชีวิตที่พ้นจากความครอบงำทั้งหมดที่สังคม โลกมนุษย์นี้ ให้กับเราตั้งแต่เด็กจนโต และความที่ชีวิตสามารถมีอิสรภาพแบบที่ผมพูดได้ นั่นคือ “ชีวิตมีอิสรภาพ ไม่ใช่ผมอิสรภาพ” นั่นคือสัจธรรมสูงสุดของชีวิตนี้ อิสรภาพนั่นเอง คือตัวแทนของนิพพาน สิ่งที่เราอยากจะไปถึง สิ่งที่เราถวิลหา...
บรรยายเมื่อ 06-04-2567 การรู้จักตัวเอง ต้องการแค่อย่างเดียว คือ ความใส่ใจต่อตัวเองอย่างสูงสุด ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคืออะไร? ใส่ใจต่ออิทธิพลต่าง ๆ ของคำพูดคนอื่น ว่ามันให้อิทธิพลต่อเรายังไง? เราถูกผลักไปทางโน้นที ทางนี้ที ได้ยังไง? ไม่มีอะไรจะผลักเราได้ ถ้าเราไม่เอาดี เราถูกผลัก เพราะเราตัดสิน เราตัดสินว่าไม่ดี พอไม่ดี...เราก็จะเอาดี การรู้จักตนเอง คือ การเห็นกระบวนการผลักดันทั้งหมดนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่เหนื่อย มันใช้พลังงานความใส่ใจต่อชีวิตมาก ที่จะหลุดพ้นจากความลวงหลอกทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต เมื่อรู้จักตัวเอง ชีวิตที่แท้จริง หรือการที่คนคนนึงมีความสามารถที่จะมีชีวิตจริง ๆ ได้ จะเริ่มผลิบานออกมา จะเริ่มเปิดเผยออกมา แล้วเราจะเริ่มแยกออกระหว่าง “ชีวิตที่เป็นจริง” กับ “ชีวิตที่อยู่ภายใต้ความครอบงำ” ทั้งหมด ตั้งแต่เราเกิดจนถึงตอนนี้ ... การรู้จักตัวเอง คือ ความสามารถในการเป็นคนดีที่แท้จริง คนดี ไม่ใช่อยู่ตรงข้ามกับคนไม่ดี นั่นเป็นคนดีในโลก ความดีที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการที่คนคนนึงรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ความดีถึงจะเกิดขึ้น ความดีเกิดขึ้นจากอริยสัจ 4 จากการรู้จักตัวเอง แต่คนดีในโลก...
บรรยายเมื่อ 15-05-2565 อาจารย์ : ศาสนาพุทธเป็นสากล ไม่ใช่เรื่องพิสดาร ไม่ใช่เรื่องแบบที่เราคิดว่า โอ้ย เรานั่งทำสมาธิไม่ได้ เรามีสติไม่ได้ หรือเราไม่มีสติ เราหลงเยอะ ...เข้าใจมั้ย ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น ทั้งหมดนี้เป็น#เรื่องอุดมคติที่เราจะไปถึง ซึ่งนั่นไม่ใช่ เราอยากจะเปลี่ยนตัวเอง...เราถามตัวเองว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองจากที่นี่ไปที่นั่นได้ยังไง และการปฏิบัติธรรมน่าจะช่วยเราได้ ที่เราจะไม่เป็นอย่างนี้ เราจะดีกว่านี้ เข้าใจมั้ย นี่คือสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมหรือคนที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรมคิดว่า การปฏิบัติธรรมจะให้เราแบบนั้น ผมถามว่า ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ เราจะปฏิบัติธรรมมั้ย? เอ : สำหรับหนู หนูก็จะปฏิบัติธรรมค่ะ อาจารย์ : เพราะอะไร? เอ : หนูก็ไม่รู้ค่ะ แต่หนูก็จะปฏิบัติค่ะ อาจารย์ : ถ้าการปฏิบัติธรรมจะไม่ได้เปลี่ยนเราให้ดีกว่านี้เลย เราก็จะปฏิบัติธรรมหรอ? เอ : หมายถึงว่าเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรอคะ อาจารย์ : ไม่ใช่แย่ลง หมายถึงไม่เปลี่ยนเลย สมมติว่าไม่เปลี่ยนเลย...
บรรยายเมื่อ 18-11-2566 355.ทั้งหมดคือกับดัก เราจะค้นพบชีวิตที่ลุ่มลึกขึ้น ลึกซึ้งขึ้น มันยิ่งกว่าความที่เราอยากจะได้ “ความไม่ทุกข์” ชีวิตลุ่มลึกแบบนั้น ไม่ได้สามารถหาได้ในไอเดียของ “ความปลอดภัย” เราอาจจะไปทำเรื่องโง่ที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่านักปฏิบัติธรรมอย่างเราจะไปทำ แล้วมันให้ทุกข์กับเรามาก แต่นั่นอาจจะเป็นเพชรเม็ดงาม ที่ทำให้ชีวิตนี้เกิดปัญญาขึ้น จากความทุกข์นั้น การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีไอเดียล่วงหน้าว่า ชีวิตควรจะอยู่ตรงไหน ยังไง แบบไหน ตามที่เราเคยสั่งสมมา รับมาทั้งหมด เพราะนั่นหมายความว่า เราวาดภาพชีวิตไว้ทั้งหมดล่วงหน้าแล้ว แล้วเราเดินตามนั้น และทั้งหมดนั้นคือ “ความคิด” ผมถึงบอกว่า การที่เราจะมีชีวิตจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เรานึกว่า ชีวิตจริง ๆ คืออะไร? คือการที่ได้ทำตามใจตัวเองอะไรก็ได้??? `มันไม่ได้ง่ายแค่นั้น การมีชีวิตจริง ๆ หมายถึงว่า คนคนหนึ่งแจ่มแจ้งในเงื่อนไข ความครอบงำ ของกรอบ ไอเดียทุกอย่าง ที่มันอยู่ในสมองเรา การพ้นมา ไม่ใช่แค่การที่บอกว่า...
บรรยายเมื่อ 18-11-2566 เรามีภาพสิ่งที่ควรจะเป็น และนั่นคือความขัดแย้ง และนั่นคือเหตุแห่งทุกข์ ชีวิตของมนุษย์เรามีปัญหา เพราะเรามีเป้าหมาย เป้าหมาย คือ ภาพที่เราคิดเอาไว้ว่า เราควรจะฉลาดกว่านี้ เราควรจะอ่าน แล้วก็รู้เรื่องมากกว่านี้ ภาพนั้นเกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่าเราเชื่อว่า “มีเราจริง ๆ” แล้วพอเราเชื่อว่า กายกับใจนี้ เป็นเรา มีเราจริงๆ มันอยากให้ทุกอย่าง ดีหมดทุกอย่าง เช่น ต้องฉลาด ต้องสวย ต้องแข็งแรง ต้อง...ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ปัญหาของมนุษย์เรา คือ เราไม่สามารถอยู่ปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ แต่ปัญหามากกว่านั้นก็คือ มันมี “เรา” อยู่กับปัจจุบัน เหมือนที่พี่บอกเมื่อกี้นี้ว่า เราไม่อยู่กับปัจจุบัน เรามีภาพที่เราอยากจะเป็น เราก็เลยทุกข์ ถ้าเราแค่อยู่กับปัจจุบันนี้...ก็ไม่มีอะไร ปัญหาถัดมาก็คือ เวลาเราบอกว่า “เราอยู่ปัจจุบัน เรามีเงื่อนไขไหม?” เช่น ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน เราไม่ควรจะต้องรู้สึกทุกข์ นึกออกมั้ยว่า...
บรรยายเมื่อ 18-11-2566 วิถีชีวิตหลัก มันสร้างความหลง ซึ่งแบ่งแยกกับความรู้ และทำให้เราตั้งใจ เพราะไม่อยากหลง แต่เรามานั่งแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อย่าเพ่ง ปล่อย อย่าประคอง...ไม่มีวันจบ เราไม่เข้าใจต้นตอ ของปัญหาทั้งหมด ว่าคืออะไร #Camouflage 18-11-2566
บรรยายเมื่อ 01-03-2567
บรรยายเมื่อ 28-10-2566
บรรยายเมื่อ 29-02-2567
บรรยายเมื่อ 14-10-2566
บรรยายเมื่อ 02-10-2566 เราทุกข์ เพราะเรามีมาตรฐาน อย่างมาตรฐานว่า เราไม่ควรจะทุกข์ นั่นก็คือความปลอดภัย ใช่มั้ย? เราควรจะเป็นจิตบริสุทธิ์ ก็คือความปลอดภัยของชีวิต ใช่มั้ย? อันดับแรก คือเราไม่เห็น ความต้องการความปลอดภัยของวิธีคิด ที่จะใช้ชีวิตยังไง อันดับ 2 คือเราไม่เห็นว่า เราทุกข์จากวิธีการอยู่ในความปลอดภัย เช่น จะอยู่อย่างปลอดภัย ควรจะเป็นอย่างนี้ วิธีคิด ก่อให้เกิดบรรทัดฐาน หลักการ ที่อยู่ แล้วพอเกิดจุดอ้างอิงอันนี้ขึ้น ความทุกข์จะเกิดขึ้นจากจุดอ้างอิงอันนี้ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง คือเราไม่เข้าใจว่า ชีวิตนั้น ทุกข์และสุข อย่างเป็นจริงที่สุด โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดอ้างอิงเป็นยังไง เข้าใจมั้ย? ต้องคิดตามนะ เราทุกข์จากจุดอ้างอิง ซึ่งทุกข์ทั้งหมดนี้...ไม่จริง แต่มนุษย์มีทุกข์จริง ๆ อยู่ ที่ไม่เกี่ยวกับจุดอ้างอิง ถ้าใครไม่เข้าใจ เดินมาตรงนี้ เดี๋ยวจะตบหน้าทีนึง นึกออกมั้ย? เจ็บ ไม่ต้องอ้างอิงกับอะไร ทุกข์ทันที หรือโมโห...
บรรยายเมื่อ 30-09-2566 เมื่อเราเริ่มต้นที่จะรู้จักตัวเอง เราจะเริ่มลงลึก ในการลงลึกนั้น เราจะพบว่ามีข้อมูลความรู้ ความคิด บทสรุปบางอย่างที่เราเคยเรียนรู้มา คุณธรรมความดี ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเข้ามาคอยแทรกแซง บิดเบือน การลงลึก เพื่อที่จะรู้จักความจริงของชีวิตนี้ อำนาจของการบิดเบือนจากสิ่งต่าง ๆ ที่ผมพูดถึงนั้นมีพลังมหาศาล เพราะตลอดชีวิตของเราตั้งแต่เกิด และความเคยชินของจิตใจที่จะอยู่ภายใต้ความครอบงำนั้น มีพลังอำนาจ มันมีพลังอำนาจมหาศาล เพราะเบื้องหลังของมัน คือ “อวิชชา” ความดำรงอยู่ของอวิชชา ที่มีมาอย่างยาวนาน คือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และมนุษย์คนหนึ่ง จะต้องมีพลังของวิชชา ไม่น้อยไปกว่าอำนาจของอวิชชา พลังของวิชชานั้น จะเกิดขึ้นได้ยังไง? พลังของวิชชานั้น เกิดขึ้นจากความสามารถของชีวิต ที่จะรู้จัก และฝ่าวงล้อมของอวิชชา เป็นกระบวนการของชีวิต ที่ไม่มีบทสรุปล่วงหน้า ไม่มีความเห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้...จริง ๆ มันควรจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่แบบนี้ ไม่มีเป้าหมาย ของการทะลุทะลวงอวิชชาทั้งหลาย เพื่อจะได้รับอะไร เป็นการทะลุทะลวงที่ปราศจากมลทินของมิจฉาทิฏฐิ ที่ครอบงำและให้ทิศทางของชีวิตนี้เอาไว้ และนี่คือความสามารถของความมีชีวิต ที่เป็นปัจจุบันอย่างยิ่ง … ระบบของความคิด ความรู้ บทสรุปของความจริง...
บรรยายเมื่อ 24-09-2566 ชีวิต ไม่ใช่การปรุง หรือไม่ปรุง ไม่ใช่ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ แต่คือ การเห็นปัจจัย เงื่อนไขทั้งหมดในชีวิต ที่ก่อให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้น นั่นก็หมายความว่า อารมณ์ ความรู้สึกนั้น ๆ ก็ไม่ถูกจริงจัง ไม่ว่าจะบริสุทธิ์ ไม่ปรุง หรือไม่บริสุทธิ์ ปรุง 2 อันนี้เท่ากัน เพราะไม่มีใครให้คุณค่า ว่าอะไรดีกว่าอะไร เพราะถ้ามันมีคุณค่า ว่าอะไรดีกว่าอะไร จะมีใครซักคน เป็นคนตัดสิน และคนตัดสินจะเป็นเจ้าของสิ่งที่ดีกว่า และจะมีปัญหากับสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ... ชีวิต คือของทั้งสองข้าง ที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เหมือนหยินหยาง ปัญญา คือ ความแจ่มแจ้งในความเข้าใจของทั้งหมดของชีวิตนี้ ที่มีของทั้งสองด้าน และมันอยู่ด้วยกันเสมอ เหมือน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทุกข์...
บรรยายเมื่อ 16-09-2566 นักปฏิบัติธรรมเรามุ่งความสนใจไปที่นิโรธ คล้าย ๆ ว่า “นิโรธ” คือ เป้าหมายสำคัญของชีวิตที่เราต้องการ คือ ความดับทุกข์ นี่คือหัวใจของอวิชชาสูงสุด เราให้ความสำคัญ ให้ความสนใจ ว่าเราคนหนึ่งในฐานะมิจฉาทิฏฐิ จะไปถึงซึ่งความดับทุกข์ หมายความว่า หลังจากแจ่มแจ้งอริยสัจ 4 แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือจากนั้น คงเหลือแค่นิโรธ ถ้าเราคิดว่า เราเป็นพระอรหันต์แล้ว เข้าใจที่ผมบอกมั้ยว่า มนุษย์เราคิดว่า ชีวิตนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา จึงเกิดวิธีคิดแบบที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ทั้งหมด แล้วมันดูน่าเชื่อถือ มันดูน่ามีความหวัง มันดูเป็นอะไรที่เรามนุษย์คนหนึ่งสมควรจะได้รับในการเกิดมา และลงทุนปฏิบัติธรรม แล้วความหมายของการที่ท่านบอกว่า ท่านตรัสรู้อริยสัจ 4 คืออะไร? หมายความว่า แต่ละขณะของชีวิตนั้น เป็นการแจ่มแจ้งในทุกข์นี้ แล้วมันจะยังผลให้เกิดการละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค และด้วยสัมมาทิฏฐิข้อแรกที่ท่านสอนเอาไว้ คือ โลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา...
บรรยายเมื่อ 02-09-2566 ผมเคยบอกว่า คนคนนึงจะออกจากโลกได้ จะต้องฝ่ามิจฉาทิฏฐิทั้งหมดของโลกนี้ ความคิดของเราต่อความสัมพันธ์ทั้งหมด ต่อสมมติทั้งหมด ที่เราเป็นจริงเป็นจัง ความคิดเหล่านั้นทั้งหมดเป็นตัวแทนของมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ทั้งโลกนี้ การที่เราจะต้องฝ่าความเห็นผิดนั้นไป หมายถึงว่า เราจะต้องฝ่าพลังงานทั้งหมดที่มนุษย์คิดเหมือนกัน และถ้าเราฝ่าไปได้นิดนึง แล้วเราก็รู้สึกว่ายากนะ เอาไว้ก่อนแล้วกัน อยู่ตรงนี้ เราก็โอเคหนิ เราก็จะกลับมาที่เดิม เราต้องฝ่าเข้าไป ในการฝ่านั้นมีความเจ็บปวดเสมอ ถ้าเราไม่ยอมเจ็บปวด ชีวิตเราก็สบาย และเมื่อชีวิตสบาย มันก็อยู่แค่นี้ อยู่ที่เดิมไปเรื่อย ๆ แต่การฝ่าทะลุพลังงานทั้งหมดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ออกมาในรูปของความคิด ความรู้สึก อารมณ์ มันเจ็บปวด และมันจะดันเรากลับ ในขณะของการฝ่านั้น สิ่งที่ต้องมีสูงสุด คือ ปัญญา และความอึด ถึก เหมือนจรวดที่จะต้องมีเชื้อเพลิงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการขาดตอน ไม่มีการที่จะให้ดันกลับ แต่พอคนเรามันไม่มีพลังงานของปัญญา ไม่มีพลังงานของความอึด ถึกแบบนั้น พอดันเข้าไป ๆ แล้วมันก็ถูกดันกลับ และพอเป็นแบบนี้หลาย ๆ ครั้ง...
บรรยายเมื่อ 02-09-2566 การเกิดมาของชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง มันหมายความว่าอะไร? เราคิดแต่ในทำนองที่ว่า เราเกิดมา ทุกข์เหลือเกิน และใครที่จะช่วยเรา ให้พ้นทุกข์นี้ได้ เราเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วิธีคิดทั้งหมดนี้ คือ ระยะทาง และกาลเวลา และเป็นมิจฉาทิฏฐิ นี่คือวิธีคิดเบื้องแรกของมนุษย์เราทุกคน แต่มันไม่ใช่แค่เราคิดคนเดียว คนอื่นก็คิดเหมือนกัน และมีคนหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะพ้นทุกข์ ตั้งแต่การสร้างความบันเทิงในโลก จนมาถึงสร้างวิธีปฏิบัติธรรม นำเสนอให้กับบุคคลที่คิดเหมือน ๆ กัน โดยที่ไม่มีใครเห็นเลยว่า โครงสร้างทั้งหมดของการคิดแบบนี้ อยู่ภายใต้ระยะทาง และกาลเวลา ไม่ว่าผู้แนะนำ ผู้สอน จะพาคนคนนั้นไปถึงไหนก็ตาม ถึงที่ที่ทุกคนต้องการ หรือไม่ว่าจะมีคุณสมบัติอะไรก็ตาม ที่เรียกว่า “พ้นทุกข์” มันก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนเดิม แต่เรานิยมกัน ที่จะถามว่า เดี๋ยวนี้เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังมีนั่นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังกระเทือนมั้ย เดี๋ยวนี้ตัวตนเราหมดไปหรือยัง? เราสนใจแค่ผลลัพธ์ซักอย่างหนึ่ง ที่กำลังบอกเราว่า ตัวเราเอง หรืออาจารย์ของเรา ไปถึงไหนแล้ว จบหรือยัง? เราสนใจแต่เรื่องของผลลัพธ์แบบนั้น...
บรรยายเมื่อ 17-07-2564 เราอยู่ในยุคของโลกาภิวัตน์ เราในยุคของที่ทุกอย่างจะต้องลัด สั้น ตัดตรง เราอยู่ในยุคของที่ว่า วิธีการอะไรที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด เราพลาดอย่างหนักที่เราเข้าใจว่า ชีวิตนี้มันเป็นอะไรที่เร่งได้ เราไม่เข้าใจว่า ธรรมมะนั้นเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นเรื่องของชีวิตจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องของระบบอุตสาหกรรมเหมือนยุคโลกาภิวัตน์ ไอเดียของเราถูกหล่อหลอมมาในโครงสร้างของการที่ เราจะต้องเร็วที่สุด ดีที่สุด Effective ที่สุด เราเติบโตมาในยุคแบบนั้น แล้วเราก็ใช้โครงสร้างนี้กับการปฏิบัติธรรมด้วย แล้วพอดีว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่สำนักส่วนใหญ่นำเสนอแบบนั้นให้เรา มันเหมือน supply กับ demand มาพร้อมกันพอดี วิถีชีวิตจริง ๆ ที่เรียกว่า “วิถีธรรม” มันหายไป “วิถี” กับ “วิธี” มันไม่เหมือนกัน “วิถี” มันใช้เวลา ใช้กระบวนการขัดเกลาตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ส่วน “วิธี” มันเป็นระบบอุตสาหกรรม มันเหมือนเราเป็นของชิ้นนึง เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง เราปฏิบัติธรรมเหมือนชีวิตของเราเป็นสิ่งของอันหนึ่ง นี่ผมเปรียบเทียบนะ มันเป็นความประจวบเหมาะมาก ที่ “วิถีธรรม”...
บรรยายเมื่อ 19-08-2566 เวลาเราทำอะไร เราต้องแจ่มแจ้งว่า เรากำลังทำอย่างนี้ทำไม? เราต้องแจ่มแจ้งว่า การกระทำอย่างนี้ มันมีนัยยะอะไร? เช่น เรากำลังไถมือถืออยู่ หรือกำลังหาอะไรดูอยู่ นั่นคือ เราต้องรู้ว่า นัยยะของมันคือ เราต้องการหนีจากตัวเอง แต่เราไม่เคยรู้ เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ถูกสอนมาว่า รู้สึกอยู่ ไม่เข้าไปในเรื่องราว มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น ก็รู้อยู่ แต่เราไม่รู้โครงสร้างใหญ่ที่สุด คือ #เรากำลังหนีตัวเอง ชีวิตของเรานี้เป็นธรรมะอยู่แล้ว แต่เราเห็นความจริงจากมันมั้ย? ที่ผมบอกว่า กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์ คือเราเห็นนัยยะของกระบวนการทั้งหมดนี้มั้ยว่า ความจริงของมันคืออะไร เหมือนเราถอด DNA หรือวิญญาณของกระบวนการนั้นทั้งหมด ว่ามันคืออะไร ไม่ได้เห็นด้วยตา หรือด้วยความคิด แต่เห็นด้วยชีวิตนั้นเอง ... ที่เรากลัวว่า เราจะจมทุกข์ เราต้องรู้ว่า #ความจมทุกข์ เกิดขึ้นได้ยังไง ความจมทุกข์ สามารถยั่งยืนอยู่ได้ เพราะหัวใจต้องการจะไม่จมทุกข์ มันคือของสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าเราเห็นโครงสร้างของความคิด โครงสร้างของหัวใจที่เป็นความหลงผิด มันจะเป็นการออกจากทุกข์โดยอัติโนมัติ แม้ว่ากลิ่นอายของความหดหู่หรือความทุกข์นั้น ยังอยู่ก็ตาม แต่มันจะ…แค่นั้น มันแค่ยังอยู่เฉย ๆ มันจึงเป็นการอยู่กับอารมณ์อย่างเป็นหนึ่งเดียว...
บรรยายเมื่อ 19-08-2566 การปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้น เมื่อหัวใจนั้น มีอิสรภาพอย่างยิ่งจากความรู้ทั้งหมดที่เราเคยเรียนรู้มา และกระบวนการของชีวิต Process นี้ คือจุดเริ่มต้น และคือจุดสุดท้าย ผลลัพธ์ที่เราถวิลหาในการปฏิบัติธรรม ไม่มีความสำคัญเลย ความสำคัญอยู่ที่กระบวนการที่ผมพูดนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ผลลัพธ์ เราต้องตระหนักชัดว่า การปฏิบัติธรรมทั้งหมด ที่เราเคยทำมา เป็นแค่การเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งความหลง และการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง ความรู้ ความคิด วิธีการปฏิบัติทั้งหมด คือ ความปรุงแต่งของเราเอง #Camouflage19-08-2566
บรรยายเมื่อ 19-08-2566 การปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้น เมื่อหัวใจนั้น มีอิสรภาพอย่างยิ่งจากความรู้ทั้งหมดที่เราเคยเรียนรู้มา และกระบวนการของชีวิต Process นี้ คือจุดเริ่มต้น และคือจุดสุดท้าย ผลลัพธ์ที่เราถวิลหาในการปฏิบัติธรรม ไม่มีความสำคัญเลย ความสำคัญอยู่ที่กระบวนการที่ผมพูดนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ผลลัพธ์ เราต้องตระหนักชัดว่า การปฏิบัติธรรมทั้งหมด ที่เราเคยทำมา เป็นแค่การเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งความหลง และการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง ความรู้ ความคิด วิธีการปฏิบัติทั้งหมด คือ ความปรุงแต่งของเราเอง #Camouflage
บรรยายเมื่อ 11-07-2564 การปฏิบัติธรรม คือ กระบวนการที่เราจะเข้าใจชีวิตนี้ อย่างแท้จริง เราไม่รู้จักว่า ความขับดันที่แท้จริง ในความอยากจะคิด คืออะไร เราได้แต่คิดว่า มันไปคิด ก็รู้ทัน และครูบาอาจารย์ท่านก็สอนว่า อย่าเข้าไปในความคิด มันเหมือนเราทำตาม Protocol หรือวิธีการเฉย ๆ แต่เราไม่รู้ว่า ทำไมเราต้องทำแบบนี้? ทำไมเราไว้ใจว่า วิธีนี้ถูก?ทำไมเราไว้ใจว่า นี่คือสิ่งที่ต้องทำ?ทำไมความคิดถึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเข้าไป? ผู้ฟัง : เพราะมันไม่ใช่ปัจจุบัน มันปรุงแต่ง? อาจารย์ : ปัจจุบัน นี่คือ ทฤษฎีใช่มั้ย? เราเชื่อทฤษฎีใช่มั้ย? เราไม่เคยรู้ว่าทำไมต้องเป็นปัจจุบันใช่มั้ย? ผู้ฟัง : ใช่เพราะเป็นทฤษฎี และเป็นเพราะอาจารย์บอก อาจารย์ : เข้าใจรึยังว่า เราเป็นแค่นักเรียนดีเด่นเฉย ๆ เราทำตามที่อาจารย์บอก แต่เราไม่รู้ว่าทำไม ถ้าเราไม่เข้าใจว่า กระบวนทั้งหมด มันเกิดขึ้นจนเป็นคำสอนได้ยังไง นั่นเท่ากับว่าเราไม่เข้าใจ เราได้แต่ทำตามทฤษฎี...
บรรยายเมื่อ 05-08-2566 สัญญาณแรกที่พระพุทธเจ้าได้พูดกับตัวเองคือ ธรรมะนั้นอยู่นอกเหนือคำพูด อยู่เหนือการอธิบายใด ๆ จึงยากที่จะหยิบนำมาสอนได้ นัยยะคือ ท่านใช้ชีวิตทั้งชีวิตของท่าน ค้นพบธรรมะ ในขณะที่เราใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเรา ทำตามความเชื่อ และความคิด เราหนีไม่พ้นกับการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง ที่จะพ้นทุกข์ และความหมกมุ่นนั้นเอง คือความปรุงแต่ง คือความคิด และเราใช้ความคิด หาวิธีการที่จะทำตาม และนั่นก็คือความคิดเหมือนเดิม และทั้งหมดของชีวิตเรา ไปไหนไม่ได้ นอกจากแค่อยู่ภายใต้ความคิด ... ชีวิตของคนเรานั้น รับข้อมูลข่าวสาร รวมกระทั่งถึงวิธีปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตของเราคือ เลือก ทำตาม และไม่ทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะข้อมูลข่าวสารหรือแม้กระทั่งวิธีปฏิบัติธรรมทั้งหมดนั้น เป็นข้อมูลข่าวสารแห่งความแบ่งแยก และเราใช้ชีวิตนั้น เราใช้ชีวิตที่จะเลือกข้าง ทำตามสักอย่าง ปฏิเสธสักอย่าง ชื่นชมสักอย่าง ประณามสักอย่าง เราหลงกลอยู่ภายใต้โครงสร้างของความแบ่งแยกตั้งแต่โลก ยันมาถึงการปฏิบัติธรรม ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมคืออะไร? คือ ความสามารถในการเห็นอิทธิพลของข้อมูลข่าวสารหรือวิธีการปฏิบัติธรรมทั้งหมด ว่ากำลังส่งผลให้ชีวิตเกิดทิศทางหรือไอเดียอะไรบ้าง ที่กำลังจะบีบคั้นชีวิตนี้ต่อไป เพื่อจะไปถึงที่สักที่หนึ่ง ที่ความคิดเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง หรือแม้กระทั่งนิพพาน ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้นคือ ชีวิตที่มีความสามารถในการเห็น มีความสามารถในการแจ่มแจ้ง ไม่ใช่มีความสามารถจะไปถึงที่ที่หนึ่ง ที่ความคิด...
บรรยายเมื่อ 22-07-2566 ความตระหนักชัดในความเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดของชีวิตนี้ นั่นคือขณะของการเห็นแจ้ง ขณะของการเห็นแจ้ง หรือที่เราเรียกว่า Enlighten ไม่ได้เกิดขึ้นจากการพิจารณาหาเหตุผล คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และได้ผลลัพธ์มาอันนึง ว่าตรงกับที่อาจารย์บอก ความรู้สึกของการเห็นแจ้ง เป็นความรู้สึกที่มนุษย์คนหนึ่ง รู้ได้เฉพาะตัวเอง เป็นขณะของความแจ่มแจ้งโดยฉับพลัน และไม่ต้องการเหตุผลทางความคิดใด ๆ มารับรองความรู้สึกของความแจ่มแจ้งนี้ และมันไม่ได้ให้ความรู้สึกกับคนคนนึงว่า เราได้กลายเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว เป็นแค่ความรู้สึกตรงตัว คือ แจ่มแจ้ง Enlighten เพราะฉะนั้น การมาฟังผมจึงไม่ใช่การรับวิธีปฏิบัติไปทำ เพื่อเราจะได้อะไร ตามที่เราคิดและคาดหวังเอาไว้ เราแค่จะได้ซึมซับจิตวิญญาณของความใส่ใจต่อชีวิตนี้ ของความแจ่มแจ้งต่อความมีอยู่ เป็นอยู่ของชีวิตนี้ จากคำสอนต่าง ๆ ของผม แค่นั้น คำสอนต่าง ๆ ของผมนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะนำไปปฏิบัติ ผมแค่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากความหลงผิดทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุมที่ผมจะอธิบายออกมาได้ และความใส่ใจต่อทุกกิริยาของชีวิต ทุกวิธีคิดและการกระทำ คือประตู สู่ความรู้แจ้ง คือการปลุกชีวิตนี้ ให้ตื่นขึ้นมา และเราต้องเป็นคนปลุกมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ผมเป็นแค่คนชี้ช่อง ชี้ทาง ส่วนการที่คนฟังจะตื่นขึ้นมานั้น เราจะต้องใส่ใจต่อช่องและทาง ที่ผมชี้ลงไปนั้น ว่ามันคืออะไร #Camouflage22-07-2566
บรรยายเมื่อ 08-07-2566 ถ้าเราต้องการที่จะไปถึงความรู้สึกของการทิ้งกาย มันไม่มีอะไรต้องทำเหมือนที่เราเคยทำเมื่อก่อนนี้ หรือที่เราเคยคิดว่ามันต้องทำแบบนั้นแบบนี้ มันมีแค่อย่างเดียวในชีวิตของเรา คือ ความแจ่มแจ้งในความเป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ และชีวิตของเราไม่มีอะไรมาก นอกจากความดิ้นรนบีบคั้นที่จะหนีความทุกข์ แล้วก็หาความสุข และความรู้สึกที่เป็นอยู่กับชีวิตของเราในแต่ละขณะ ในทุก ๆ วัน นั่นคือ กุญแจที่จะเปิดประตูไปสู่การทิ้งกาย และการทิ้งกายนี้ ไม่ใช่เราทิ้งกาย ไม่ใช่ “เรา” ทิ้ง และมันก็ไม่ใช่คำว่า “ทิ้ง” ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นพระอรหันต์ก็คงไม่ต้องกินข้าว อาบน้ำ หาหมอ มันไม่ใช่การถึงจุดหมายบางอย่าง ที่ในเชิงว่า อ้อ เดี๋ยวนี้เราทิ้งกายแล้ว เราเข้าใจไหมว่า “เราทิ้งกายแล้ว” คือการถึงจุดหมายบางอย่าง สำเร็จแล้ว แล้วเป็นยังไงต่อ? ตัดสินตัวเองเรียบร้อยว่า เราเป็นพระอนาคามีแล้ว ความแจ่มแจ้งในชีวิตนั้น ไม่ใช่การถึงปลายทาง หรือประสบความสำเร็จ แต่เป็นความแจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยว่า เพราะอย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้ เพราะมีอย่างนี้ จึงมีอย่างนี้ เพราะแจ่มแจ้งในความสุข แจ่มแจ้งในรูป รส กลิ่น...
บรรยายเมื่อ 13-05-2566
บรรยายเมื่อ 31-10-2566
บรรยายเมื่อ 24-06-2566 ที่มาที่สำคัญที่สุดของกิเลส คือ ความสุข และเมื่อความสุขมีปัญหา นักปฏิบัติธรรมก็เลือกที่จะไม่ทำทั้งหมด เราตีปัญหาได้ตื้นเขินมาก เราแก้ปัญหาด้วยวิธีกำปั้นทุบดิน หรือแม้กระทั่งเราทำตามวิธีปฏิบัติที่แพร่หลายกันอยู่ แต่มันก็ไม่พ้นว่า หัวใจนี้มีปัญหากับความสุข ความสุขกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้สึกว่ามันเป็นที่มาของกิเลส จะเห็นว่าเราเจอกับดักของความแบ่งแยกตลอดทาง และกับดักนั้นใช้ได้ผลเสมอ เพราะคนเรานั้นไม่ค่อยมีปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจอว่า ความสุขคือที่มาของกิเลส หน้าที่เรา ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น คือ แจ่มแจ้งลงไปที่ความสุข ว่ามันคืออะไรกันแน่ ความสุขคำนี้ เป็นแค่บทสรุปทางความคิด ของการรวมกันของผัสสะในทุกอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหมดที่เรียกว่าความสุข คือการทำลายความเห็นผิด ทำลายการเห็นอย่างผิวเผิน อย่างตื้นเขิน ต่อผัสสะที่น่าพอใจ หรือที่ทนได้ง่าย บทสรุปในเชิงของความสุขเคลือบการรวมกันอยู่ของมัน ด้วยความเห็นผิด และเมื่อความแจ่มแจ้งต่อความสุขเกิดขึ้น ชีวิตก็ไม่มีความสุข...มันก็ไม่เชิงแบบนั้น แต่การถ่ายทอดทางภาษามันจำกัด ความสุขที่ผมพูดถึงนี้ ผมพูดถึงความสุขใน part ของความเห็นผิด เมื่อแจ่มแจ้งความสุขใน part...
บรรยายเมื่อ 10-06-2566 ความเมตตาในความหมายของมนุษย์เรา แท้จริงเป็นแค่ชื่อ เราตั้งชื่อให้กับปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบของการให้การช่วยเหลือ ว่า “เมตตา” แต่ “เมตตาที่แท้จริง” คืออะไร? คือความเข้าใจว่า ชีวิตนี้นั้น เป็นแหล่งกำเนิด และเป็นทางผ่านขององค์ความรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ ชีวิตนี้ เป็นแค่แหล่งข้อมูลข่าวสารต่อจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้ การที่ชีวิตชีวิตหนึ่งมีความสามารถ ที่จะส่งผ่านการกระทบกระเทือน อารมณ์ ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ โดยที่ไม่มีใครสักคนหนึ่งบิดเบือนมัน ไม่มีใครสักคนหนึ่งต้องการจัดการอะไรเกี่ยวกับมัน ... ฟังธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปัญญามาก ๆ ก็ต้องระวังไม่ให้ปัญญามันเกินหน้าความจริงของจิตใจ ที่มันจะต้องทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้ามีความรู้สึกผิดเกิดขึ้น เราจะต้องลงลึกลงไปที่นั่น ไม่ใช่รีบใช้ทฤษฎีในเชิงของปัญญามากลบความรู้สึกผิดนั้น แต่จะต้องลงไปที่นั่น ลงไปที่ความรู้สึกผิดนั้น ว่ามันคืออะไร มันเกิดขึ้นยังไง มันมาจากไหน? ไอเดียต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย เช่น เราไม่ควรจะรู้สึกผิดมั้ย หรือการที่มีความรู้สึกผิด ก็ถูกแล้ว? ความคิดจะรุมเข้ามาในชีวิตของเราขณะนั้น และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเข้าใจทุกย่างก้าวของความคิด ว่ามันคืออะไร ความคิดนี้มาได้ยังไง? และความคิดจะบอกให้เราไปที่ไหนสักที่หนึ่งเหมือนกัน...
บรรยายเมื่อ 27-05-2566 วิธีการปฏิบัติธรรม ที่ผมเรียกว่า การถอยกลับ และการแจ่มแจ้ง รู้จักตัวเองนั้น เป็นกระบวนการที่ชีวิตนี้มีอยู่แล้ว ทำได้อยู่แล้ว แต่ปัญหา คือ เราไม่เคยถอยกลับ เรามีแต่เดินหน้า และทำให้ฟังก์ชั่นที่ชีวิตของมนุษย์มีอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ทำงาน เราเดินหน้า แม้กระทั่งเรื่องนินทาคนอื่น เวลาเรานินทาคนอื่น เรารู้จักเค้าดี ยิ่งกว่าพ่อแม่เค้าอีก เราเป็นกูรูในด้านการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเลย มีใครสอนเรื่องแบบนี้ให้เรามั้ย? ทุกคนตอบได้เลยว่า ไม่ต้องสอน แค่มองปร๊าดเดียว ก็รู้แล้วว่าคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร แต่มองตัวเอง ไม่เคยรู้เลยซักอย่าง ทั้ง ๆ ที่มันใช้กลไกเดียวกัน มันใช้วิธีเดียวกัน มันมีอยู่แล้ว แต่การเห็นตัวเอง มันยาก คำว่า ยาก กับ กลไกที่มีอยู่แล้วในชีวิต ไม่เหมือนกัน ชีวิตนี้มีเครื่องมืออยู่แล้ว แต่มันยาก ง่าย สำหรับคนแต่ละคน ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับปัญญา ความใส่ใจ ความเพียร ความไม่หนี...
บรรยายเมื่อ 13-05-2566 เราต้องแจ่มแจ้งในไอเดียที่เราคิดอยู่เสมอว่า “เรา” เป็นคนที่ทุกข์ และ “เรา” จะปฏิบัติธรรม เพื่อ “เรา” จะพ้นทุกข์ เพื่อ “เรา” จะเป็นพระอรหันต์ เพื่อ “เรา” จะไม่เกิดอีกแล้ว เราต้องแจ่มแจ้งวิธีคิดทั้งหมดนี้ ว่ามันไม่มีอยู่จริง ถ้าไอเดียเหล่านั้น ยังไม่ถูกสำรวจตรวจสอบ ด้วยปัญญาอย่างแท้จริงของเรา เราจะคอยตกเป็นเหยื่อของมันในที่สุด หลังจากเราแจ่มแจ้งในโครงสร้างของวิธีคิด ที่มีเราเป็นศูนย์กลาง ว่าทั้งหมดนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะคำว่า “ความเป็นเรา” นั้น มันปรากฏขึ้นมา แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าไม่มีความเห็นผิดต่อเรื่องชั่วคราวเหล่านั้น นั่นแปลว่า ชีวิตนั้นไม่มีไอเดีย ว่า “เรา” คือ ผู้ที่เป็นทุกข์และ “เรา” ต้องการกระทำบางอย่างเพื่อ “เรา” จะหลุดพ้น หรือ “เรา” จะพ้นทุกข์ ชีวิตที่ไม่หลงเหลือไอเดียเหล่านั้น เป็นอย่างไร? เป็นปัจจุบัน ไม่มี “เรา” ในขณะนี้ ที่จะตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น และหาทางแก้ไข...
บรรยายเมื่อ 15-04-2566 เมื่อชีวิตเป็นจริงได้ ชีวิตทั้งหมดจะเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยตัวมันเอง นั่นหมายความว่า การปฏิบัติธรรมที่เราเคยเรียนมาทั้งหมด ไม่ว่าจะคืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิต ที่เราจะต้องมีสตินะ เราต้องมีสมาธินะ เราต้องเจริญปัญญานะ เพราะกระบวนการคิดเหล่านั้น คือมิจฉาทิฏฐิ คือมีเราคนนึง จะเป็นผู้ที่ได้รับผลข้างหน้า เราจะกลายเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าเราอยู่ในกระบวนการ “เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา” จนเราเริ่มแจ่มแจ้งกับชีวิตมากขึ้น ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง จนสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้ กระบวนการของธรรมชาติ ของชีวิต ด้วยตัวมันเอง มันมีความตระหนัก ชัด ที่จะมีชีวิต ที่เป็นการปฏิบัติธรรม หรือโดยสรุปย่อลงมา ก็คือ มีชีวิตที่เป็นความแจ่มแจ้ง ต่ออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เราไม่สามารถจะหยุดกระบวนการของชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมได้เลย นี่คือ การปฏิบัติธรรม เมื่อชีวิตนี้ เริ่มขึ้นแล้วไม่มีอะไรหยุดมันได้ แต่ถ้าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งในชีวิต ความรู้สึกของเราก็คือ โอ๊ย แย่จัง วันนี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย วันนี้ปฏิบัติน้อยไป ถ้าเรายังมีความคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาในชีวิตการปฏิบัติของเรา เราจะต้องรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย...
บรรยายเมื่อ 25-03-2566 เรารู้มั้ยว่า เราเกิดมาพร้อมกับอะไร? ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับอวิชชา อวิชชา คือ ความหลงผิดทั้งหมดต่อชีวิตนี้ แล้วชีวิตของเรา อะไรคือจริง? ความจริงของชีวิตนี้ที่เป็นอยู่ คือ ความหลงผิด กิเลส ตัณหา ความอยาก ความดิ้นรน ความเลวร้ายทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจ แต่บรรยากาศของคำสอนต่าง ๆ พยายามให้เราเปลี่ยนมัน นั่นคือความหลงผิดซ้ำสองขึ้นไปอีก คืออย่าเป็นแบบนี้ อย่ามีสิ่งเหล่านี้ ทำลายมันซะ แต่เราทุกคนรู้ว่า คำสอนที่แท้จริงคือ เราต้องเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง แต่เห็นมั้ยว่า สิ่งที่เราทำ คือ เราพยายามทำลายความจริง ไม่ใช่เห็นตามเป็นจริง ความจริงของเราคือความลวง เพราะมันมักอยู่ข้างหน้าเสมอ และนั่นหมายถึงเป็นสิ่งที่เราไม่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น ความบริสุทธิ์ ความไม่มีกิเลส ความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ หรือไปเป็นเทวดานางฟ้า สิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด สิ่งที่เป็นความเชื่อ เป็นความลวงนั้น กลับกลายเป็นความจริงในหัวใจของเรา แต่สิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมดในชีวิตนี้ มีอยู่จริงในตอนนี้ เรากลับมองไม่เห็นมัน อยากทำลายมัน เราไม่อยากมีมัน #Camouflage25-03-2566
บรรยายเมื่อ 11-03-2566 พระพุทธเจ้าบอกว่า ทางสายกลางไม่ใช่ทางสุดโต่งทั้งสองข้าง มันหมายความว่าอะไรกันแน่? การตัดสินเป็นทุกข์ งั้นไม่ตัดสิน กิเลสเป็นของไม่ดี งั้นไม่มีกิเลส ฟุ้งซ่านเป็นความหลง เป็นโมหะ งั้นสงบ ใช่ไหมว่าทั้งหมดนี้ คือทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนกัน เห็นไหมว่า ที่เราพูดว่าตัวเองนั้นกำลังปฏิบัติตามมรรค เดินทางสายกลาง หัวใจเรา…ไม่ใช่เลย หัวใจเราคือ ทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนเดิม เราไม่เพียงแค่อยากอยู่อีกข้างนึง เราด่าอีกข้างนึงด้วยว่า ห่วย แย่ สกปรก เพราะฉะนั้น ลงลึกลงไป เห็นแบบนี้ เห็นโครงสร้าง เห็นชีวิต เห็นความเป็นไปของความครอบงำจากสิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด แบบนี้ ... ทางสายกลางจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความแจ่มแจ้ง ว่าอะไรในชีวิตที่เป็นความสุดโต่งบ้าง ... การจะมีชีวิตที่จะเข้าใจของทั้งสองข้าง หรือของที่เรียกว่าความสุดโต่งทั้งสองข้าง #ชีวิตนั้นจะต้องไม่หยุด ที่จะลงลึกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันพอใจกับชีวิตที่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว นั่นแปลว่า มันใช่ เราจะต้องลงลึกไป ว่ามันใช่จริงไหม ... กว่าที่คนคนนึงจะมาถึงจุดที่สามารถจะมีชีวิตที่แท้จริงได้ ชีวิตที่พ้นออกจากทุกความคิดและความเชื่อได้ ไม่ใช่เพียงแค่ผมบอกว่า ต้องมีชีวิตแบบนั้น เพราะนั่นเป็นแค่ความเชื่อใหม่ แต่หมายถึงว่า คนคนนึงจะต้องสำรวจ ตรวจสอบ ชีวิตทั้งหมดของตัวเอง และแจ่มแจ้งกับความจอมปลอมของมันทั้งหมด และชีวิตที่แท้จริง...
บรรยายเมื่อ 25-02-2566 การรู้ หรือกิริยารู้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันไม่ใช่การฝึก ไม่ใช่ฝึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะผ่านเข้าสู่สิ่ง ๆ นี้ การฝึกอะไรบางอย่าง มันคือ #การสร้างสิ่งใหม่ขึ้น สิ่งใหม่ที่เรารู้จักกันดีในนามของ “ผู้รู้” แล้วเราก็เรียนรู้กันมาเยอะว่า สุดท้าย ผู้รู้ คือ อวิชชาตัวใหญ่ที่สุด และเราต้องทำลายมัน และเราก็เคยหลงเชื่อว่า ถ้าเราไม่มีมัน เราจะหลง ด้วยการสอนแบบนั้น ทำให้มนุษย์คนนึงที่อยากปฏิบัติธรรมนั้น กลัวหลง #ความกลัวหลงได้ครอบงำชีวิต จากคำสอนเหล่านั้น เราไม่สนใจจะรู้แล้วว่า แท้จริงการรู้นั้น มีอยู่แล้ว…เราไม่สนใจแล้ว หลับหูหลับตาฝึกก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะหลง เพราะนั้น แต่ละขั้นตอนของชีวิต ที่เรารับคำสอนใด ๆ มาก็ตาม ถ้าเราไม่เคยพิจารณา เห็นวิธีคิด ว่าเราได้รับอะไรบางอย่างเข้ามาต่อชีวิตนี้ เราจะถูกสิ่งเหล่านั้นหลอกเราตลอดชีวิตจนตาย คำว่า “ปัจจุบัน”...
บรรยายเมื่อ 11-02-2566 คำว่า “มายา” เป็นภาษาสันกฤต คำแปลหนึ่งคือ สิ่งที่วัดได้ ประเมินค่าได้ เรียกว่าให้มูลค่าหรือคุณค่า หรือหยาบๆ ก็คือ วัดกว้าง ยาว สูง ได้ เราปฏิบัติธรรม เราต้องการจุดจบ จุดจบนั้น คืออะไร? คือ ไม่มีกิเลส ไม่กระเทือน ไม่มีตัวตน บริสุทธิ์ มีศีลบริบูรณ์ มีสติบริบูรณ์ หรือกระทั่งจุดจบ คือการที่เราไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว แล้วเราเชื่อเรื่องจุดจบทั้งหมดนี้ ว่าเป็นเป้าหมายที่เราจะไปถึง และเราทำทุกอย่างที่ถูกเรียกว่า วิธีปฏิบัติธรรม แลกด้วยชีวิตก็ยอม เพื่อไปถึงจุดจบนั้น จุดจบทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ เป็นสิ่งที่ถูกพูดออกมาให้เป็นรูปธรรมอันหนึ่งได้ เป็นรูปแบบนึงของชีวิตที่เรานึกภาพออกได้ และสิ่งใด ๆ ก็ตามที่วัดค่าได้ สิ่งนั้นเป็นมายา ... ชีวิตนี้ถูกตีตรา วัดค่า ประเมินค่าอยู่ตลอดเวลา...
บรรยายเมื่อ 08-02-2566 ชีวิตเราอยู่ใน Process ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข กลบ “ขณะนี้” ไปเรื่อยๆ อะไรทำให้เราอยู่ที่นี่ไม่ได้? อะไรที่ทำให้เราต้องออกแสวงหา ออกไปได้รับ? แปลว่า สิ่งนั้นยังไม่ถูกเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการได้รับสิ่งนั้นคืออะไร ให้ความสุขอย่างไร ทำให้เราพอใจได้อย่างไร เราไม่เพียงจะต้องแจ่มแจ้งกับตัวเองในขณะนี้ว่า ดิ้นรนแล้ว ทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่กับตัวเอง อยากได้ความสุข แต่เราจะต้องแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่จะไปถึงด้วยว่า เราจะได้รับอะไร ผัสสะแบบไหนที่เราต้องการ ได้รับแล้วเป็นอย่างไร มันให้ความสุขเราอย่างไร ถ้าสิ่งที่จะไปถึงนั้นถูกแจ่มแจ้ง ทุกอย่างจะเปิดออกหมด และอะไรก็ตามที่ถูกเปิดออกหมด จะไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว และตัวที่อยากได้ความสุขนั้น จะหมดที่ไป จะอยู่ที่นี่ และจะไม่มีไอเดียของการแสวงหาความสุข จริง ๆ แล้ว ไอเดียของการแสวงหาความสุขนั้นเอง ก็คือความทุกข์ในขณะนี้ เพราะไม่เข้าใจความสุขข้างหน้า จึงเกิดไอเดียนั้น ที่จะแสวงหา และได้รับไปเรื่อย ๆ แต่ทันทีที่ความสุขถูกเข้าใจ ไอเดียที่ถูกกระตุ้นเร้า ให้ไปแสวงหานั้นจะหายไป เพราะไม่มีความสุขข้างหน้าที่รออยู่...
บรรยายเมื่อ 28-01-2566
บรรยายเมื่อ 28-01-2566 ธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น จะมีความใส่ใจต่อชีวิต ก็ต่อเมื่อมีความทุกข์ เพราะเราทุกคนไม่อยากทุกข์ ถ้าเราจน เราจะหาทางรวยถ้าเราทุกข์ เราจะหาทางมีความสุขถ้าเราโดนบีบบังคับ เราจะหาทางอิสระนี่คือกระบวนการดิ้นรนที่ตื้นที่สุดของมนุษย์ คนที่เห็นความตื้นเขินของความดิ้นรนแบบนี้ เขาจะเริ่มใส่ใจชีวิต เริ่มใส่ใจว่า...เขาทุกข์ได้ยังไง?...ความทุกข์มาจากไหน?...ทำไมถึงเกิดความดิ้นรนแบบนี้? แต่เบื้องต้น เราใส่ใจเฉพาะความทุกข์ที่ใหญ่ ๆ ความทุกข์ที่หนักหนาเท่านั้น เพราะมันสร้างภาระที่หนักหนาให้กับชีวิตมาก ในขณะที่ผมกำลังบอกว่า #เราต้องใส่ใจกับทุกเรื่อง ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะไฟกองเล็กนั้น สามารถจะกลายเป็นกองใหญ่ได้เสมอ และไฟกองใหญ่นั้น มักจะเกิดขึ้นจากกองเล็กเสมอ ถ้าเราใส่ใจแต่ไฟกองใหญ่ มันเหมือนว่าเราพยายามจะดับไฟกองใหญ่ และความใส่ใจของเรามีแค่น้ำ 1 ถัง แค่นั้น เราได้เพียงทำให้กองไฟนั้นเล็กลง แต่ไม่ได้ดับไป และเมื่อกองไฟนั้น เล็กลงแล้ว นั่นหมายความว่า ความทุกข์เบาบางลงแล้ว นั่นหมายความว่า เรารู้สึกมีความสุขขึ้นแล้ว และนั่นหมายความว่า ที่เหลือช่างมันเถอะ และนั่นหมายความว่า ชีวิตเป็นความปล่อยปละละเลย และนั่นหมายความว่า ชีวิตเป็นความหลงเหมือนเดิม! ผมไม่ได้บอก ให้เราแค่ใส่ใจต่อความทุกข์ แต่ผมบอกว่า เราต้องใส่ใจต่อ #การแสวงหาความสุขด้วยและใส่ใจไปถึง #การได้รับความสุขด้วยและใส่ใจไปถึงว่า #อะไรกันแน่ที่เป็นตัวรับความสุข จนเรามีความชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องของความสุข ผมเคยพูดว่า ความสุขนั้นมีส่วนของระดับพื้นฐาน และมีส่วนของความสุขที่เกิดขึ้นจากความปรุงแต่งของความคิด...
บรรยายเมื่อ 14-01-2566 ความแจ่มแจ้งในชีวิตเป็นความฉับพลัน ทันที ไม่ใช่การฝึก สิ่งเดียวที่ต้องมีในความฉับพลันนั้นคือ สิ่งแวดล้อมต่อชีวิตนี้ วิเวก สันโดษ เงียบ และแจ่มแจ้งในโครงสร้างของชีวิตที่เกิดมาว่า สิ่งที่บงการชีวิตนั้น ด้วยความคิดทั้งหลาย หรือด้วยความรู้ทั้งหลาย หรือด้วยแนวคิดที่จะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ #แจ่มแจ้งในความลวงหลอกทั้งหมดนี้ และไม่ไหลไปตามนั้น ชีวิตของผมทั้งหมดคือ มีแต่รู้ว่าอะไรไม่ใช่ แต่พวกเรานักปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรมในเชิงที่ พอสำเร็จอันนี้...อืม ใช่แล้ว พอได้อย่างนี้...เอ น่าจะอย่างนั้นมากกว่า พอได้อะไรอีก...อื้มม อย่างนี้ใช่กว่า เรามีแต่ “ใช่” กับ “ใช่กว่า” ของผมมีแต่ “ไม่ใช่” ไอนี่..ไม่ใช่ ไอนั่น..ไม่ใช่ ทุกวันผมมีแต่ “ไม่ใช่” #เพราะธรรมะไม่มีจุดยืน ไม่มีที่ตั้ง ถ้าทันทีมีคำว่า “ใช่” เช่น “ในชีวิตเรา เป็นแบบนี้แหละ ใช่แล้ว” นั่นคือปัญหา ตัวที่เห็นแจ้งนี้ มันไม่เคยได้รับอะไร มันรับอะไรไม่ได้...
บรรยายเมื่อ 31-12-2565 สิ่งที่ผมสอน ไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรม ถ้าเราจะหาวิธีปฏิบัติธรรมจากผมนั้น…ไม่มี สิ่งที่ผมสอน คือชีวิต #ผมสอนให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจโครงสร้าง ความผลักดัน การหลบหนี การปกป้องตัวเอง เห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่มีอยู่ในชีวิตของเรา เห็นมัน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงมัน เห็นมัน ไม่ใช่ตัดสินมัน เห็นโครงสร้างความเชื่อทั้งหมดที่ครอบงำชีวิตนี้ เราเกิดมาในโลกนี้ สังคม การเมือง ศาสนา ความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด เห็นทั้งหมดนี้ ว่ามันครอบงำชีวิตนี้ยังไงบ้าง เห็นทั้งหมดนี้ ว่ามันบงการและให้ทิศทางชีวิตนี้ยังไงบ้างเห็นอย่างละเอียด เห็นไหมว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ผมไม่ได้บอกให้พวกเราไปทำอะไร ไปฝึกอะไร ผมบอกให้พวกเราเห็นกลับมาที่ตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวเราเอง มันมีรายละเอียดอะไรบ้าง ในทุกวันที่เราตื่นขึ้นมา ความอยาก ความต้องการ กิเลส ตัณหา ความเชื่อ ความคิดที่เรายึดถือ สิ่งเหล่านี้กำหนดทิศทางชีวิตยังไงบ้าง แล้วมันจริงมั้ย? … ผมสอนเราทุกคนตลอดว่า ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้น เกิดขึ้นจากที่คนคนนึง...
#ชีวิตที่เป็นจริงนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่เราทุกคนซึ่งกำลังแสวงหาความจริง จะต้องมีให้ได้ และมันไม่ได้มีด้วยการฝึกปฏิบัติอะไรทั้งนั้น แต่มันมีด้วยการที่ #มนุษย์คนนึงสงสัยทุกอย่างที่ตัวเองกำลังจะไปทำ สงสัยทุกอย่างที่มนุษย์ สังคม และตัวเราเอง ให้การยอมรับและเชื่อถือ ถ้าเราไม่เคยเริ่มชีวิตแบบนี้เลย หรือมีแต่น้อยมาก แทบจะจำไม่ได้ว่าเคยทำแบบนั้น นั่นแปลว่า เรายังไม่เคยมีชีวิตที่แท้จริงเลย และเราไม่มีโอกาสจะไปถึงที่นั่น และนั่นหมายความว่า เราคือคนที่ยังไม่มีปัญญาในการนำชีวิตนี้ ถ้าเราไม่มีปัญญาในการนำชีวิตนี้ และยังหลงผิด มั่นใจในตัวเอง ว่าตัวเองรู้แล้ว นี่คือปัญหาที่หนักที่สุด ผมไม่สามารถจะบอกนิยามของการมีชีวิตที่แท้จริง ว่าคืออะไรได้ เพราะสิ่งที่ผมพูดถึงนั้น พูดถึงไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมบอกได้ก็คือ ถ้าใครสักคนนึงเข้ามาหาผม ต้องการคำแนะนำบางอย่างจากผม เช่น เขาควรไปทำแบบนี้ไหม เขาควรไม่ทำแบบนั้นไหม เขาคิดอย่างนี้ถูกไหม ผมจะบอกสิ่งเหล่านั้นให้กับคนที่เข้ามาหาผมนั้นได้ ว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง และเมื่อคนคนนึงได้รู้จักสิ่งที่เขาคิดอยู่ทั้งหมด เชื่ออยู่ทั้งหมด ว่ามันยังไม่ใช่ คนคนนั้นมีโอกาส...มีโอกาสที่จะเริ่มรู้จักว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง #เราจะแจ่มแจ้งว่าอะไรจริง#เราต้องรู้จักว่ามันไม่จริงยังไง#ไม่ใช่การแสวงหาความจริง แต่ต้องแจ่มแจ้งกับความลวงหลอกทั้งหมด ที่หล่อหลอมชีวิตของเราขึ้นมาตั้งแต่เด็กจนโต สังคม การเมือง ศาสนา ความเชื่อ ประเพณี...
บรรยายเมื่อ 12-11-2565 เราทุกคนเข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยหัวใจอันหนึ่ง ก็คือ เราจะไปสู่อิสรภาพ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราทุกคนน่าจะคิดเหมือนกัน แต่อิสรภาพนั้น จะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะนี้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ เราไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมได้อย่างแท้จริง อิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้ หมายความว่า ชีวิตนี้มีอิสระ ที่จะศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อจำกัด ความคิด ความรู้ สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย ที่สั่งสมมา การตัดสินให้คุณค่า ว่าอะไรควรจะเป็นยังไง #ความไม่หลงเหลือสิ่งที่สั่งสมมาทั้งหมดนี้ จึงจะมีความสามารถที่จะมีอิสรภาพในการรู้ ตั้งแต่ขณะนี้ มีอิสรภาพในการศึกษาสิ่งที่เป็นอยู่อย่างเปิดกว้าง ตั้งแต่ขณะนี้ อิสรภาพไม่ใช่ไปรอเอาข้างหน้า มันต้องมีตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ... ศาสนาในความหมายของพวกเรา คือ ดี ไม่ใช่จริง ศาสนาในความหมายของพวกเรา คือ ความเชื่อ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมจึงเป็นของเสมือนในทุกวันนี้ ผมพูดถึงอิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้ อิสรภาพนั้น คือ จะต้องไม่หลงเหลือข้อมูล ความจำทุกอย่าง เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ที่เราเคยเรียนมา เคยฟังมาทั้งหมด เราทำได้ไหม? เมื่อสมองไม่หลงเหลือสิ่งเหล่านั้น และเราลงลึกกับชีวิตตัวเอง...
บรรยายเมื่อ 29-10-2565 ในชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ความเห็นผิดเกี่ยวกับว่า “จะทำยังไงดี?…เราถึงจะพ้นทุกข์” จะคอยแทรกเข้ามาในชีวิตเราในแต่ละวันเสมอ ๆ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราจะหาทาง เราจะประเมิน เราจะตัดสิน เราจะให้คุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น และดิ้นรน และทั้งหมดนั้นคือ เรากำลังออกนอกเส้นทางของความจริง เพราะเมื่อสมมติฐานหรือภาพของตัวเราเกิดขึ้น แล้วเรารู้ไม่ทัน มันจะพาเราหลงทางทันที…ไปอีกนาน แต่ภาพของเราคนนึงกำลังหาทางที่จะพ้นทุกข์ เป็นภาพที่ได้รับการชื่นชมและยกย่องในหมู่นักปฏิบัติธรรม เราถูกสอนแต่ในเรื่องให้เราพ้นทุกข์ ทำยังไงเราถึงจะพ้นทุกข์? เราต้องมีสติ เราต้องมีสมาธิ เราจะได้ไม่เข้าไปเป็นกับการกระทบต่าง ๆ นั้น เราจะได้ไม่ปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง เราก็ไม่ทุกข์ ถ้าเรามีสมาธิ เราก็เห็นเฉย ๆ ได้ ถ้าเราเห็นเฉย ๆ ได้ เห็น สักแต่ว่าเห็นได้ เราก็ไม่ทุกข์ ทุกอย่างดูดีหมด แต่ทุกอย่างพุ่งเข้าไปที่ Center สำคัญ คือ Self...
บรรยายเมื่อ 15-10-2565 314.อะไรคือความไม่ตื่น ความตื่น คือ การมีชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น เป็นชีวิตที่ไร้เรื่องราว เป็นชีวิตที่มีแค่อาการปรากฏ ความตื่น คือ การรับรู้อาการในขณะนี้ รับรู้ล้วน ๆ เพียว ๆ แล้วสามารถรู้เหตุของมันได้ว่า อาการที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดในขณะนี้เกิดจากเหตุอะไร เช่น เพราะความหมายของคำพูดที่กระทบเข้ามาในหูของเรา ทันทีที่มีการรู้ทั้งหมดของขณะนี้ ว่ามันมีที่มาที่ไปเกิดจากอะไร กระบวนการที่เราเรียกว่าความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น จะจบสิ้นไปอย่างไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่อีกเลย และที่สำคัญคือ ไม่มีความรู้สึกเลยว่า นี่เราปฏิบัติถูกแล้ว เราดีแล้ว เราเข้าใจแล้วว่าจะต้องเห็นอย่างนี้ แล้วเก็บบทสรุปของประสบการณ์ในครั้งนี้ เตรียมไปใช้กับครั้งหน้า ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ความตื่น ความรู้สึกถึงชีวิตที่ตื่น การฟังทั้งหมดที่ผมพูด ไม่สามารถจะทำให้ชีวิตของเราตื่นได้ ชีวิตที่เป็นความตื่นนั้นจะต้องเป็นการค้นพบชีวิตนั้นด้วยตัวเราเอง และการที่ชีวิตจะตื่นขึ้นมาได้อย่างแท้จริงนั้น เราจะต้องทิ้งทั้งหมดที่เป็นทิศทางเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เพราะทิศทางนั่นเอง คือตัวปิดบังความตื่นของมนุษย์คนหนึ่ง ... ทุกวันที่เราอยู่ภายใต้ชีวิตที่ไม่จริง เรามีภาพของชีวิต เราวางแผนทั้งหมดเอาไว้แล้ว แผนทั้งหมดนั้นมีเป้าหมายเดียวในชีวิตคือ “ให้เราปลอดภัย” แต่เราไม่ใช้คำนั้น เรานักปฏิบัติธรรมเราแยบยลกว่านั้น เราใช้คำว่า “เรากำลังอยู่ในทาง...
บรรยายเมื่อ 01-10-2565 ถ้าผมยกตัวอย่างให้เราพิจารณาว่า เมื่อกิเลสเกิดขึ้น ความอยากเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ให้พวกเราลองคิดดูตอนนี้ ทันที เราอาจจะมีไอเดียบางอย่างต่อกิเลสนั้น ต่อความอยากนั้น เช่น เรามีความเป็นนักปฏิบัติธรรมอยู่ เรารู้สึกแย่กับกิเลสที่เกิดขึ้น แล้วเราพยายามจะทำอะไรบางอย่าง เรามีไอเดียว่า เราจะไม่ทำตามกิเลสนั้น แต่การไม่ทำตามกิเลสนั้น มาจากไอเดียไหนอีกทีนึง? มันมีอีกความคิดหนึ่งกำลังบอกเราว่า การตามกิเลสนั้น มันไม่ใช่ทาง การตามกิเลสนั้น มันไม่ดี มันมีไอเดียบางอย่างกำลังบอกเรา กำลังสอนเรา กำลังแนะนำเรา และหลังจากนั้น เราพยายามทำตามนั้น ทำตามคำแนะนำของอีกความคิดหนึ่ง และสุดท้ายกิเลสก็ดับไป เพราะมันไม่เที่ยง แล้วเราก็พบว่า นี่คือ “ทาง” เพราะฉะนั้น ทางทั้งหมดที่เรา “เชื่อว่าคือทาง” เกิดขึ้นจากความคิดเท่านั้น เกิดขึ้นจากความเชื่อ ข้อมูล และมันให้ผลได้จริง แต่ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ #เราเห็นชีวิตนั้นอยู่ภายใต้ความครอบงำของความคิด ซ้อนความคิด ซ้อนความคิด ตลอดเวลาไหม? แม้ว่ามันจะดีก็ตาม การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนกันแน่? …อยู่ที่ความสามารถที่คนคนนึงจะไม่ทำตามกิเลส …หรือว่าเห็นกิเลสมันดับไป …หรือว่าคนคนนึงสามารถที่จะเห็นระบบของความคิดทั้งหมดแต่ละอัน ที่คอยควบคุมชีวิตนี้อยู่ และการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่...