"ในการฝึกปฏิบัติ ก็ต้องอาศัยทั้งสัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง แล้วก็สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง..ควบคู่กันไป จึงจะทำให้เกิดการเห็นความเป็นจริง เกิดวิปัสสนา
สติยิ่งมีกำลัง ก็จะยิ่งเห็นอะไรได้ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น แยบคายขึ้น ลึกซึ้งขึ้นไป
ส่วนจิตที่มีความตั้งมั่น ก็จะทำให้มีความมั่นคง มีกำลัง ไม่ไหลไป
การฝึกปฏิบัติก็จึงอาศัยทั้ง สติสัมปชัญญะ แล้วก็สมาธิ ความตั้งมั่นควบคู่กันไป เหมือนขาทั้งสองข้าง มีขาข้างซ้าย แล้วก็มีขาข้างขวา
การพัฒนาสติสัมปชัญญะ ก็อาศัยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ให้ต่อเนื่องกันไป แล้วก็ควรจะมีการฝึกปฏิบัติในรูปแบบ
ในรูปแบบก็ อาศัยการเดินจงกรม การเคลื่อนไหวเนี่ยพัฒนาสติสัมปชัญญะ .. แล้วก็การนั่งสมาธิภาวนา เพื่อพัฒนาความสงบ ความตั้งมั่นของจิตนั่นเอง ความตั้งมั่นของจิตก็จะยกระดับให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ตรงนี้เหมือนขา ๒ ข้างที่ควบคู่กันไป จะทำให้เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง เกิดวิปัสสนา ไปตามระดับ ระดับของกำลังสติ แล้วก็ระดับของความตั้งมั่นของจิตนั่นเอง
ตรงนี้ก็ฝึกปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไป เมื่อจิตมีความตั้งมั่น จะรู้สึกเหมือนถอยเข้าสู่ข้างใน จะเริ่มเห็นสภาวะ เห็นความไม่เที่ยงของสภาวธรรมต่าง ๆ
แม้ในระดับสมาธิ อาการปีติต่าง ๆ ก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็เสื่อมสลายไป มีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป สภาวะความสุขก็ไม่เที่ยง อาการต่าง ๆ ทางกาย ทางใจ มันก็ไม่เที่ยง
พอจิตตั้งมั่น มีสติ มีกำลัง ก็จะเริ่มเห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ เพาะบ่มพัฒนาไป ซึ่งก็จะส่งผลให้สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง ได้รับการเพาะบ่มให้เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน
ทีนี้ก็จะเริ่มนำมาสู่การเกิดสัมมาทิฏฐิ ที่เห็นสภาวธรรม จากการเข้าใจสภาวธรรมตามความเป็นจริง มองเห็นสภาวะต่าง ๆ ที่ไม่เที่ยง ที่เสื่อมสลายไป อยู่เนือง ๆ
การปฏิบัติในมรรคมีองค์ 8 ก็จะเพาะบ่มอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ มรรคเลยที่จะมีความสอดประสานรับกัน แล้วก็ได้รับการเพาะบ่มเติมเต็มไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน จากการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง จากการฝึกปฏิบัติ เป็นประจำสม่ำเสมอ
เมื่อมีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ มีความตั้งมั่น ก็เริ่มเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงไปโดยลำดับ
เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาของสิ่งต่าง ๆ ก็จะถอดถอนความเห็นผิดต่าง ๆ ความเข้าใจผิดต่าง ๆ ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องไปโดยลำดับลำดา ก็คือเห็นทุกอย่าง ตามความเป็นจริง ว่า
.. สรรพสิ่งก็ไม่เที่ยง ความรู้สึกอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดแล้วก็เสื่อมสลายไป
.. เป็นทุกข์ มีสภาพบีบคั้น ต้องสลายตัวไป บังคับบัญชาอะไรไม่ได้
.. เป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน"
…………………………
บรรยายธรรมโดย
พระอาจารย์มหาวรพรต กิตฺติวโร
ณ อาคารธรรมนิเวศน์ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย (ศูนย์ 1)
เช้า 26 ตุลาคม 2566
ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่
Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : www.facebook.com/dhammaaree
Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : www.facebook.com/dhammaareefoundation
YouTube คลังวิดีโอ : www.youtube.com/@dhamma_aree
Instagram คลังภาพ : www.instagram.com/dhamma_aree/
SoundCloud คลังเสียง : @dhamma_aree
LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : bit.ly/3Fxu8Ol
LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : lin.ee/pXSQeyZ
Website ธรรมอารี :www.dhammaaree.com
TikTok ธรรมอารี : www.tiktok.com/@dhamma.aree