Podcast ตอนพิเศษนี้ผมทำขึ้นมาเมื่อปีที่แล้วตอนเปิดตัวแอพ OHMPIANG และมีคนเข้ามารีวิว 5 ดาวครบ 100 รีวิวทั้งใน App Store และ Play Store
Episode นี้ผมจะมาพูดถึงบทเรียนการขายครั้งสำคัญที่ผมแลกมาด้วยเลือด เหงื่อ หยดน้ำตา ไข้ขึ้นสูง และแมลงเต็มปาก
บทเรียนนี้ช่วยให้ผมขายของได้แบบไม่เสียเวลา แถมยกระดับให้ผมแตกต่างจากนักขายทั่วๆไปด้วย
[sociallocker]
สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ The OHMPIANG Podcast Episode พิเศษ
สำหรับ Episode นี้ตามสัญญาที่บอกว่าได้รีวิว 5 ดาวครบ 100 รีวิว
ใครรีวิว 5 ดาวก็ขอให้ได้ความรู้ไปตามจำนวนดาวที่ให้ผมเอาไว้นะครับ
Episode นี้ผมจะมาพูดถึงบทเรียนการขายครั้งสำคัญที่ผมแลกมาด้วยเลือด เหงื่อ หยดน้ำตา ไข้ขึ้นสูง และแมลงเต็มปาก
บทเรียนนี้ช่วยให้ผมขายของได้แบบไม่เสียเวลา แถมยกระดับให้ผมแตกต่างจากนักขายทั่วๆไปด้วย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ… ผมว่ามีไม่ต่ำกว่า 7 ปี
ตอนนั้นเพิ่งเริ่มทำงานเป็น Sale ขายเครื่อง 3D Printer ใหม่ๆ และกำลังดิ้นรนหาแนวทางของตัวเอง
ถ้าท่านไม่รู้หรือไม่เคยฟังผมมาก่อนเนี่ย รู้ไว้ได้เลยครับ ผมเป็น Sale ที่กากและง่อยมากที่สุดคนนึงเลย ไม่แน่ใจว่าพูดใน Podcast ไหน น่าจะ Podcast พิเศษสำหรับคนสั่ง Tested Selling ถ้าว่างก็ลองค้นๆดูนะครับ
และเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ก็อยู่ในช่วงที่ผมกำลังดิ้นรนพอดีเลย ถึงตอนนั้นจะเริ่มทำยอดได้แล้ว แต่ก็ลูกผีลูกคนอยู่
เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงที่ผมกำลังหัดขายของ เวลาเจอเพื่อนเก่าผมจะทิ้งท้ายเสมอว่า
“เฮ้ย ถ้าอยากให้ไปช่วยขายอะไร บอกกูนะ กูไปช่วยได้ ตอนนี้กูเป็น Sale”
สำหรับผมเนี่ย ความรู้ที่ได้เรียนจากหนังสือ หรือคนที่สำเร็จแล้วนี่ สำคัญนะ แต่มันไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่ได้เอาไปใช้
ตอนนั้นผมเลือกแล้วว่า ถ้าอยากได้เงินต้องขายของให้เป็น และขายของให้ได้ ผมเลยทุ่มกับการฝึกขายแบบเต็มร้อย ใครชวนไปขายอะไร ผมไปหมด และทุกวันนี้ยังขอบคุณตัวเองเลยที่กล้าทำอะไรบ้าๆตอนนั้น
เคสนี้ก็เหมือนกัน เกิดจากการที่เพื่อนผมคนนึง ชื่ออีนัท (นามสมมติ) มันโทรมาชวนไปขายปุ๋ย
มันมีคนรู้จักทำสวนอยู่ภาคเหนือ และน่าจะปิดได้ล็อตใหญ่
ผมดูตารางแล้ว ช่วงที่มันชวนตรงกับที่จะไปปฏิบัติธรรมจังหวัดใกล้ๆพอดี เลยตอบตกลงไป แล้วบอกให้มันจองตั๋วเลย
มันบอกว่า นั่งรถไฟนะเว้ย กูไม่มีเงิน
ผมบอกว่า รถทัวร์ไม่ดีกว่าหรอวะ ปกติไปขายของกูชอบนั่งรถทัวร์
มันบอกว่า รถไฟแหละ ประหยัดดี สนุกกว่า เดี๋ยวกูจองที่ดีๆให้
ด้วยความที่ขี้เกียจเถียง เลยเออออไปกับมัน และก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก
เมื่อวันนัดพบมาถึง… มันยื่นตั๋วให้ผม
ผมจำได้แม่นเลยว่า อึ้งไปประมาณ 5 วิ เพราะมันเป็นตั๋วพัดลมชั้น 3
คือไม่ได้อะไรนะ แต่ที่ผมนึกไว้คือ ตั๋วตู้นอน ไม่ก็ตั๋วตู้แอร์ก็ยังดี แต่นี่มันให้ผมไปนั่งตั๋วพัดลมชั้น 3 ค้าบบ
ถ้าท่านไม่เคยนั่งรถไฟ ตั๋วพัดลมชั้น 3 เนี่ย มันเป็นตู้ต้อนรับธรรมชาติ หน้าต่างทุกบานจะเปิดออก ส่วนที่นั่งมันเหมือนเอาม้านั่งไม้ยาวๆมาตอกตะปูไว้บนรถไฟ พัดลมเนี่ยก็แลดูเหมือนจะหลุดออกมาฟันหัวคนนั่งได้ตลอดเวลา ถ้ามันหมุน
แต่ตู้ที่ผมนั่งพัดลมมันหมุน 5 นาทีหยุด 30 นาที และไม่มีตะแกรงกั้น
ม้านั่งที่ผมนั่งก็น็อตหลวมๆ โยกได้ ขยับได้
ท่านเคย คุยกับตัวเองว่า ชิบหายละ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทางไหม
วันนั้นน่ะ ผมอย่างนั้นเลย
ชิบหายเอ๊ยยย ไอ้เจษเอ๊ยยย ทำไมมึงพลาดแบบนี้
ผมมองหน้ามัน มันมองหน้าผม ด้วยความที่ลั่นวาจาออกไปแล้ว ก็ต้องไปให้ถึงที่สุด
14 ชั่วโมงบนนั้นเป็นอะไรที่เลวร้ายมากครับพี่น้อง
เพราะผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย มีแค่แจคเก็ต เสื้อยืด กางเกงยีนส์ และชุดปฏิบัติธรรม
ช่วงออกเดินทางใหม่ๆนี่ยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่ ต้องคอยสู้กับกองทัพยุงทุกครั้งที่จอดสถานี บางสถานีนี่นึกว่าอยู่ในป่า ทั้งมืด ทั้งรก ทั้งวังเวง ทั้งหมาหอน ทั้งยุงที่กัดได้สะดุ้งมาก
คือผมไม่ชินไง ไม่ได้กระแดะนะ คนมันไม่ชินนี่หว่า
พอผ่านเขตเมืองไปได้หน่อย เริ่มไม่ค่อยจอดถี่ ยุงเริ่มซา ก็พอจะนอนได้บ้าง ไม่ใช่ล้มตัวลงนอนนะ เพราะตู้เต็ม แย่งอากาศกันหายใจสุดฤทธิ์
หลับๆได้แป๊บเดียวก็จอดสถานี ทุกสถานีจะมาพร้อมเสียงเคาะ ไก่ย่างคร้าบ ไก่ย่าง ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ข้าวต้มมัดคร้าบ
หงุดหงิดสุดๆ แต่ก็ได้แต่ท่องไว้ว่า ใกล้แล้วๆ ยกขึ้นดูนาฬิกา 4 ทุ่ม โอ้วพระเจ้า เพิ่ง 4 ทุ่ม หันไปมองรอบๆ ทุกคนหน้าตาคร่ำเครียดหมด ทำอะไรไม่ได้ทำได้อย่างเดียวคือ กลั้นใจนอน