คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มี.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยาโสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา
ภิกษุทั้งหลาย นี่คือหนทางๆเดียว ที่จะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ เป็นไปเพื่อความล่วง ความทุกข์และโทมนัส เป็นไปเพื่อดับความโศกและความร่ำไร หนทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
พระพุทธเจ้าบอกว่า “ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติอันบุคคลใดอบรมแล้วทําให้มากแล้ว ย่อมบําเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ อานาปานสติอันบุคคลใดอบรมแล้วทำให้มากแล้ว มีอานิสงส์มาก มีผลานิสงส์มาก”
อานาปานสติอันบุคคลใดอบรมแล้วทําให้มากแล้วมีอานิสงส์มากอย่างไร?มีอานิสงส์มากคือ ทําให้บําเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ได้
พระพุทธเจ้าจึงสอนอานาปานสติให้เป็นตัวผ่านเข้าไปสู่สติปัฏฐานทั้งหมด แล้วองคาพยพของธรรมสําหรับที่จะเข้าไปสู่ความพ้นทุกข์เรียก โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ผ่านทางลมหายใจทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ครบหมด ๓๗ ประการ เป็นองคาพยพของการที่จะเข้าสู่แดนแห่งการตรัสรู้ ก็มาจากลมหายใจหมดเลย มันสําคัญขนาดนั้น
แต่ทําไมต้องใช้ลมหายใจเป็นทางของสติปัฏฐาน พอไปกายคตาสติ พระพุทธเจ้าบอกว่า “บุคคลใดเจริญกายคตาสติ บุคคลนั้นชื่อว่ายืนอยู่บนอมตธรรม” อมตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตาย พอกายคตาสติ ท่านบอกถึงอะไรเป็นเรื่องแรกอีก? ลมหายอีก อานาปานสติอีกแล้ว ต้องอานาปานสติก่อน เพราะฉะนั้นที่พูดมาตอนบ่ายนี้ จับต้นชนความแล้ว หนึ่ง จิตต้องเป็นกลาง อาการที่อานาปานสติเป็นตัวที่จะทําให้จิตยืนอยู่ในจุดที่ชื่อว่าเป็นกลางครบเต็มบริบทของมัน นั่นจึงต้องลมหายใจ
อ้าว มันเป็นกลางอย่างไร? เป็นกลางหมายความว่า สติปัฏฐาน คือ สติเกิดจากจิตที่นิ่งอยู่ที่ฐาน จิตไม่ได้ไปทําอะไรเลย จิตนิ่งอยู่เฉยๆ มีสติเข้าไปรับรู้รับทราบ มีสติเข้าไปรู้ เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่ แล้วถ้าจะวางจิตไว้ที่อื่น
เพราะฉะนั้นการใช้ลมหายใจมันเป็นช่องเดียว จุดเดียว ที่ทําให้สติบริสุทธิ์ เพราะจิตนิ่งอยู่ที่ฐาน แล้วสติมันเกิดจากจิตที่นิ่งอยู่นี้เข้าไปรับทราบลม พอเข้าไปรับทราบลม สติก็จะกั้นจิตให้นิ่งอยู่ที่ฐานอยู่เรื่อยๆ สติบริสุทธิ์จะมีคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ
๑) เข้าไปรับทราบสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้า
๒) จะกั้นจิตนิ่งไว้อยู่ที่ฐาน
พระพุทธเจ้าตรัส สติ เตสํ นิวารณํ สติเป็นเครื่องกั้นการไหลไปของจิต สติบริสุทธิ์นี้ แต่ถ้าจิตที่ไม่นิ่งอยู่ที่ฐาน แล้วมีเจตนาไหลเข้าไป สติที่มีอยู่มันก็ไปกับเจตนา จิตทั้งหมดนี้ก็จะไหลไปด้วย ไหลเข้าไปในสู่สิ่งนั้นให้เกิดการกระทําขึ้นมา
ที่พระพุทธเจ้าให้ใช้ลมหายใจ เพราะ
๑) ลมหายใจมันไหลเข้าไหลออกของมันอยู่แล้ว
๒) จิตมันมีอยู่ในกายอยู่แล้ว เพียงแค่ชี้จุดให้จิตไปตั้งอยู่เฉยๆ
จิตมันอาศัยกายนี้อยู่แล้ว แต่มันไม่รู้อยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นชี้จุดให้จิตไปอยู่ในจุดที่ชื่อว่านิมิต นิมิตคือจุดที่เป็นช่องทางเดินของลม แล้วสติจะเกิดต่อสิ่งที่เกิดเฉพาะหน้า สติจะเข้าไปรับรู้สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้า สิ่งนั้นมันจะต้องเป็นจริงในขณะนั้น ด้วยการกระทบกับประสาทส่วนใดส่วนหนึ่ง
พระพุทธเจ้าบอกว่า
กาเยสุ กายญฺญตราหํ ภิกฺขเว เอตํ วทามิ ยทิทํ อสฺสาสปสฺสาสํ
ภิกษุทั้งหลายเราขอบอกว่า ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นกายๆหนึ่งในกายทั้งหลาย
มันก็จบแล้ว เราเพียงแค่อะไร? ทําจิตนี้ให้มีฐาน ให้เขานิ่งอยู่ที่ฐาน ในขณะที่อยู่ที่ฐานปั๊บ เขารู้ลม รู้ลมไปก่อน ในกายคตาสติ พระพุทธเจ้าให้วางจิตให้รู้ลมไปก่อน หลังจากรู้ลมแล้วค่อยไปรู้อิริยาบถใหญ่ รู้อิริยาบถใหญ่ได้แล้วค่อยรู้อิริยาบถย่อย เมื่อรู้ลมได้แล้ว รู้อิริยาบถใหญ่ รู้อิริยาบถย่อย แล้วก็รู้สภาพธรรมทั้งปวงได้ต่อไป แต่ต้องขึ้นต้นด้วยลมก่อน
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร