ธรรมดีรุ่งโรจน์สัญจร ครั้งที่ 21 คอร์สอานาปานสติ ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ทางแห่งรู้ การเริ่มต้นของตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ อันเป็นกายเป็นใจ รู้ตรงๆ ไม่ปรุงแต่ง รู้อย่างนี้เรียกว่า มัชฌิมา รู้เป็นกลาง
รู้ที่เป็นกลางจะบ่มความตั้งมั่น
มัชฌิมาปฏิปทา คือ ตัวที่เป็นกลาง
เมื่อเข้าสู่การปฏิบัติ มัชฌิมาปฏิปทา คืออะไร
ในสภาวะที่เราปฏิบัติ เราไม่ได้รู้ทุกขณะ เป็นเราเสียส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นรู้
เวลาเป็นเราก็จะอยู่ใน 2 ฟากฝั่ง เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค
อุปกิเลส อาสวะ อนุสัย ทั้งหมดที่มีอยู่ในใจก็อยู่กับ 2 ฟากฝั่งนี้
ถ้าเราถอยตัวเองออกไป อยู่เหนือรู้ เหนือเรา แล้วมองตัวเองลงไปในระหว่างวัน จะเห็นเราเป็นไปตามกำลังของกิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ อุปนาหะ อาการกายออกโดยที่เราไม่รู้ตัว
ตัวรู้เวลาอยู่ในความเป็นรู้ รู้ที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาจริงๆ คือ รู้ที่ตรงต่อกายต่อใจอย่างเป็นกลาง
องค์ประกอบของรู้ที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา
- จักขุกรณี คือ ตัวรู้ที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ อันเป็นกายเป็นใจ อันเป็นกลาง ถ้ารู้ต่อเนื่องไป เกิดเป็นความตั้งมั่น ก็จะเป็นจักขุกรณี เป็นเครื่องทำให้เกิดการเห็น
- ญาณกรณี รู้ตรงต่อกายต่อใจอันเป็นภายในที่เป็นกลาง เป็นเครื่องทำให้เกิดการรู้
- อุปสมายะ เมื่อเกิดเครื่องทำให้เกิดการเห็น เครื่องทำให้เกิดการรู้ มันจะเป็นไปเพื่อการเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง เพื่อนี้ไม่ใช่อำนาจของตัณหา ต้องเพื่อด้วย จักขุกรณี ญาณกรณี
- อภิญญายะ เพื่อความรู้ยิ่ง
- สัมโพธายะ เพื่อการตรัสรู้
- นิพพานายะ เพื่อพระนิพพาน
- สังวัตตะติ
แค่รู้ลมกระทบออก แค่รู้ลมกระทบเข้า ตรงๆ ก็ได้องค์ประกอบครบ
การปฏิบัติภาวนาที่ถูกต้อง จะต้องวางตัวรู้ให้เป็น จักขุกรณี และให้เป็นญาณกรณี ต้องวางให้เค้าเป็นตัวรู้ที่เป็นเครื่องทำให้เกิดการเห็น เป็นเครื่องทำให้เกิดการรู้การที่จะทำให้เป็นเครื่องทำให้เกิดการเห็น เป็นเครื่องทำให้เกิดการรู้ ต้องมาจากเหตุที่ถูกต้องจริงๆ คือ ตัวผู้รู้ รู้ตรงต่อกายต่อใจอย่างตรงไปตรงมา
ตัวรู้ที่รู้ตรงต่อกายต่อใจอย่างตรงไปตรงมา ตัวรู้นี้สำคัญที่สุด ต้องประกอบไปด้วย สติสัมปชัญญะ ถ้าเมื่อใดที่เป็นเรา จะไม่เป็นจักขุกรณี ญาณกรณี
ถ้าไม่เป็นเครื่องทำให้เกิดการเห็น เครื่องทำให้เกิดการรู้ ก็เป็นแค่ความเข้าใจ ก็คือความคิด เมื่อเป็นเครื่องทำให้เกิดการเห็น เครื่องทำให้เกิดการรู้ แต่ไปก็จะเข้าสู่ อุทธังโสโต คือ ผู้มีกระแสเบื้องบน เป็น อนกฺขาเต คือเข้าไปแตะในธรรมที่พูดไม่ได้ บอกไม่ได้ อธิบายไม่ได้ แต่ผู้ที่แตะนั้นจะรู้เอง มีลักษณะแบบ มนสา จ ผุโฐ สิยา เป็นผู้ที่มีใจที่ถูกต้อง คือ ใจไปกระทบถูกต้องต่อกระแสอันนั้น ลักษณะของจิตที่เข้าไปแตะอยู่กับกระแสอันนั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็น มีจิตไม่ตกไปเพื่อการผูก การเกาะ การเกี่ยวกับกาม
ให้สังเกตว่าตัวรู้ที่เรารู้ตรงต่อกายต่อใจ ในอานาปานสติ รู้ตรงต่อลมกระทบออก รู้ตรงต่อลมกระทบเข้า แค่ซื่อๆตรงๆอย่างนั้น กิจครบหมด ในตัวรู้ที่เป็นมัชฌิมาในขณะที่รู้ตรงต่อลมกระทบ สภาวะรู้นั้นมีองค์ประกอบที่เป็นมัชฌิมา จึงเป็นสภาวะที่สามารถบ่มความตั้งมั่นขึ้นมา ตัวรู้และตัวความตั้งมั่นจะถูกบ่มมาด้วยกัน มาในระดับหนึ่งก็จะเป็นจักขุกรณี ญาณกรณี อันนี้เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วตัวรู้เมื่อทำให้เกิดเครื่องเห็น ทำให้เกิดเครื่องรู้ บ่มไปเรื่อยๆ ตัวที่จะเป็นสัมโพธะ (มรรค ๘) มันคือ ธรรมชาติอันหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการบ่ม จากการสะสม จากเหตุปัจจัย เกิดขึ้นมาแล้วอยู่ในฐานะ สัมมาญาณ เกิดการรู้ชอบที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ตกไปสองฟากฝั่ง เป็นรู้ที่เป็นกลางจริงๆ
โดยธรรมชาติ ความตั้งมั่นมีองค์ประกอบ 7 ประการ
- สัมมาทิฏฐิ
- สัมมาสังกัปปะ
- สัมมาวาจา
- สัมมากัมมันตะ
- สัมมาอาชีวะ
- สัมมาวายามะ
- สัมมาสติ
และถ้าบ่มความตั้งมั่นไปเรื่อยๆ เหตุของความตั้งมั่นจะทำให้เกิดการรู้ การเห็น ที่มีกำลังตรงต่อความเป็นจริงไปเรื่อยๆ รู้เห็นของความตั้งมั่นที่เกิดมาจากสติที่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดเป็นกำลังของตัวรู้ที่บริสุทธิ์ เรียกว่า สัมมาญาณ พอเป็นสัมมาญาณ รู้ที่ชอบนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติที่มันเติบโตมา
เวลาเราปฏิบัติไม่ต้องไปเรียกร้อง ถวิลหาสภาวะต่างๆ รู้ต้องตรงต่อความเป็นจริงของกิจในขณะนั้นให้บริสุทธิ์ จะเกิดความตั้งมั่นขึ้นมาทันที
ถ้าไม่ตรง ไม่บริสุทธิ์ ต่อเหตุอันเป็นจริงนั้น มันคืออุปกิเลส และอันตรายของอานาปานสติ
ถ้ารู้บริสุทธิ์ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ จากเครื่องทำให้เกิดการเห็น เครื่องทำให้เกิดการรู้ ส่งผลมาเป็น ได้เห็นแล้ว รู้แล้ว ถ้าเราไม่เริ่มจากรู้ที่บริสุทธิ์ จะไม่เห็นแล้ว รู้แล้ว แม้นมีความคาดหมายว่าได้ ก็ได้จากเรา ว่าเราเห็นแล้ว เรารู้แล้ว มันไม่ใช่เกิดจากจักขุกรณี ญาณกรณี
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม