#อริยสัจ๔ ( ทุกวัน คิด พูด ทำ )
๑. การเห็นว่ามีตัวตนในขันธ์๕ อาการนั้นเป็นทุกข์
แต่ไม่มีตัวตนผู้ทุกข์ #กิจต่อทุกข์ให้รู้ รู้หรือยัง?
๒. การปรุงแต่งว่ามีตัวตนอยู่ในขันธ์๕ มีตัณหาอยู่เบื้องหลัง
อาการนั้นเป็นสมุทัย #กิจต่อสมุทัยให้ละ ละหรือยัง?
๓. การไม่สำคัญเห็นตัวตนในขันธ์๕ จะพึงเห็นนิพพานได้ ละความเพลินใน
อุปาทานขันธ์๕ #กิจต่อนิโรธทำให้แจ้ง แจ้งหรือยัง?
๔. การเห็นว่าไม่มีตัวตนในขันธ์๕ เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อไม่คิดเบียดเบียน
ย่อมไม่ทุกข์ใจ คือนิพพานที่เห็นได้เอง #กิจต่อมรรคให้เจริญ
เจริญหรือยัง?
"ในการปฏิบัติธรรม ควรวางอริยสัจ๔ แยบคายไว้ในใจเสมอๆ ทำให้เห็นการหลงในความสำคัญมั่นหมายในขันธ์๕ ว่าเป็นตัวตน คืออุปาทาน ซึ่งเป็นอาการแห่งทุกข์ และทำให้รู้จักเลือกพิจารณาธรรมที่ถูกต้อง เพื่อย้อนดูวิถีของปุถุชนหรือวิถีทางโลก ในความมีความเป็นต่างๆ ซึ่งหาหลักปักไปสู่ความมั่นคงไม่ได้เลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง เป็นไปโดยประการอื่น
ความจริงนั้นมีเพียงสิ่งเดียว คือ พระนิพพาน เป็นสัจจะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น"
"ถ้าไม่มีรากฐานในการเข้าใจเรื่องอริยสัจ๔ การปฏิบัติจะไม่ชัดเจนจะแจ้ง และไม่ไปสู่ผลลัพธ์ได้
แต่ถ้ามีรากฐานในการเข้าใจเรื่องอริยสัจ๔ ในการคิด พูด ทำ อย่างมีสติ จะกลายเป็นอริยสัมมาสมาธิ ที่มีบริขาร๗ เป็นการดำเนินทางแห่งมรรค
รู้จักว่าอุปาทานขันธ์๕ เป็นทุกข์ กิจต่อทุกข์ให้รู้
รู้จักว่าอวิชชาปัจจยาสังขารา (ปฏิจจสมุปบาทในสายเกิด) เป็นสมุทัย กิจต่อสมุทัยให้ละ
รู้จักว่าอวิชชาดับ สังขารดับ ฯลฯ (ปฏิจจสมุปบาทในสายดับ) เป็นนิโรธ
รู้จักทางเดินที่ถูก การคิด พูด ทำ อย่างมีสติ เป็นมรรค"
#ทุกข์
เพราะสำคัญผิดว่ามีขันธ์๕ เป็นตัวตนเรา-เขา (#อุปาทาน) จึงเกิดความเพลิน (#นันทิ) ในความคิด (#สังขาร) ซึ่งเป็นหมู่แห่งความทุกข์ เกิดความเศร้าหมองต่อใจ (#อุปกิเลส ๑๖ ได้แก่ โลภ โกรธ ผูกโกรธไว้ พยาบาท ลบหลู่คุณท่าน ยกตนเทียบเท่า แข่งดี ดูหมิ่นท่าน ริษยา ตระหนี่ มารยา หัวดื้อ ถือตัว โอ้อวด ประมาท มัวเมา)
#สมุทัย
อวิชชาปัจจยาสังขารา คือ สังขารเกิดจากตัณหา อันเวทนาที่อวิชชาสัมผัส ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์นานับประการ (#สมุทัย) เช่น เกิดความอยากที่จะให้เสียงนั้นหยุดลง หาทางจัดการเสียงนั้น โดยอวิชชาสัมผัสสำคัญเสียงว่าเป็นเสียง สำคัญหูว่าเป็นหู สำคัญโสตวิญญาณว่าเป็นโสตวิญญาณ สำคัญเวทนาว่าเป็นเวทนา
แต่อวิชชา สังขาร ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน เป็นเพียงแค่สภาวธรรม ไม่ใช่ตัวตน เป็นกระบวนการเหตุปัจจัย (#ปฏิจจสมุปบาท)
การเข้าใจในกระบวนการนี้ จะไม่ไปเพลินในเนื้อเรื่องที่ปรุงแต่ง ไม่สำคัญมั่นหมายขันธ์๕ ทั้งภายนอก-ภายในว่าเป็นตัวตนเรา-เขา
#นิโรธ
หนทางแห่งนิโรธ จึงแจ้งด้วยการเห็นว่าอวิชชาดับ สังขารดับ ฯลฯ จิตก็จะเป็นอารมณ์เดียว ไม่ไปมีราคะ โทสะ โมหะกับเสียงนั้น (รวมถึงรูป กลิ่น รส สัมผัสกาย ธรรมารมณ์)
#มรรค
#สัมมาทิฏฐิ มีธรรมชาติเทลาดไปสู่พระนิพพาน เหมือนขอนไม้ที่ลอยไปสู่มหาสมุทร ไม่ไปติดอยู่ฝั่งใน (#อายตนะภายใน๖) ไม่ไปติดอยู่ฝั่งนอก (#อายตนะภายนอก๖) ไม่จมอยู่ในบาดาล (ความเพลิน) ไม่อยู่ในเกลียวน้ำวน (#กามคุณ๕) ติดอยู่ในเมืองลับแล หรือมนุษย์/เทพจับไว้ (#อุปาทานขันธ์๕)
- ถ้ามี #สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูก รู้จักปฏิจจสมุปบาททั้งสาย) --> ก็เพียงพอต่อ #สัมมาสังกัปปะ (ไม่ดำริในกาม พยาบาท เบียนเบียน คิดเรื่องมีตัวตน)
- ถ้ามี #สัมมาสังกัปปะ --> ก็เพียงพอต่อ…
#สัมมาวาจา (ไม่พูดผิดเรื่องตัวตนเราเขาในมุมต่างๆ)
#สัมมากัมมันตะ (ไม่ประพฤติผิด โลภ โกรธ หลง โอ้อวด กระด้าง หัวดื้อ ตีเสมอ ลบหลู่คุณท่าน มุ่งแต่เอาชนะ มารยา ประมาท มัวเมา)
#สัมมาอาชีวะ
- นิวรณ์๕ จึงไม่สามารถเกิดขึ้น เพราะมีมรรคทั้งสองนี้ ที่ทำหน้าที่ร่วมกัน
#สัมมาวายามะ (เพียรปิดกั้นความโลภ โกรธ หลง)
#สัมมาสติ (ระลึกถูกลงไปในกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นเป็นเพียงแค่เครื่องหมาย ไม่มีสภาวะใดเป็นตัวตน ถือเป็นสติปัฏฐาน๔ ที่ฉลาด)
- #อริยสัมมาสมาธิ ที่มีอุปนิสัย๗ จึงเกิดขึ้น และทำงานสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน
ภาคของการปฏิบัติ
"ในภาคของการปฏิบัติ ควรเจริญสติต่อเนื่องในอาตนะ๖ (#สตตวิหารธรรม ๖ ประการ) คอยตามรู้ธรรมารมณ์ให้เร็วไว ดั่งการตั้งกระทะให้ร้อนตลอดเวลา เวลาหยดน้ำลงไป น้ำ (การปรุงแต่ง) นั้นระเหยกลางอากาศ ซึ่งต้องอาศัยความสัปปายะ เช่น สถานที่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากในปัจจุบัน"