ท่านได้จัดหลักแห่งทานไว้คือ ในพระสูตร ๑๐ ในพระวินัย ๔ ในพระปรมัตถ์ ๖
อนฺนํ ให้ข้าว
ปานํ ให้น้ำ
วตฺถํ ให้ผ้าผ่อนท่อนละไบ
ยานํ ให้อุปกรณ์แก่การไปมา
มาลา ให้ระเบียบดอกไม้
คนฺธํ ให้ของหอม
วิเลปนํ ให้เครื่องลูบไล้ละลายทากระแจะจันทน์
ธารณํ ให้เครื่องประดับทัดทรงตบแต่ง
เสยฺยาวสตฺถํ ให้อาสนะที่นั่งที่นอนที่พักพาอาศัย
ปทึเปยฺยํ ตามประทีปไว้ในที่มืด
๑๐ ประการนี้ เรียกว่าทานในพระสูตร เป็นบุญเป็นกุศลดังกล่าวแล้วทุกประการ
ให้จีวรเครื่องสำหรับนุ่งห่ม แก่พระภิกษุสามเณรประการหนึ่ง
ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุสามเณรประการหนึ่ง
ถวายเสนาสนะสำหรับพักอาศัย แก่พระภิกษุสามเณรประการหนึ่ง และ
ถวายศิลานเภสัชยารักษาไข้ แก่พระภิกษุสามเณรอีกประการหนึ่ง
ท่านเจ้าภาพได้ถวายอาหารบิณฑบาตครั้งนี้ก็ได้ชื่อว่า เป็นทานในพระวินัย
มีอายตนะ ๖ คือ ยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะธรรมารมณ์ ถอนความยินดีในอารมณ์เหล่านี้ออกเสียงได้ สละความยินดีในอารมณ์เหล่านี้เสียได้ ก่อนเราเกิดมา เขาก็ยินดีกันอยู่อย่างนี้ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ กำลังที่เราเกิดมา เขาก็ยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ เหล่านี้ ครั้นเราจะตายเขาก็ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ อย่างนี้เหมือนกัน ความยินดีเหล่านี้หากถอนอารมณ์ออกเสียได้ ไม่ให้เสียดแทงเราได้ พิจารณาว่านี้เป็นอารมณ์ของชาวโลกไม่ใช่อารมณ์ของธรรม ปล่อยอารมณ์เหล่านั้นเสีย ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้เข้าไปเสียดแทงใจ ทำใจให้หยุดให้นิ่ง นี่เขาเรียกว่า ให้ธรรมารมณ์เป็นทาน ย่อมมีกุศลใหญ่ เป็นทางไปแห่งพระนิพพานโดยแท้ และเป็นทานอันยิ่งใหญ่ทางปรมัตถ์