อรหํ เป็นพระคุณข้อต้น มีนัยดังจะแสดงต่อไปนี้
อรหํ เป็นเนมิตกนาม เกิดขึ้นเองพร้อมกับที่พระองค์บรรลุพระโพธิญาณ ยกตัวอย่างเทียบเคียงคล้ายกับชื่อ พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อว่า มัลลิกา กล่าวคือว่าวันที่พระนางเธอประสูตินั้น มีดอกมะลิร่วงลงมาจากอากาศในเวลาเกิด พระราชบิดาและพระประยูรญาติ ถือเอานิมิตดอกมะลินั้น ขนานนามธิดาองค์นั้นว่า มัลลิกา แปลว่า พระนางมะลิ
อรหํ เป็นคำที่พวกเรานักปฏิบัติธรรมเชิดชูกันนักหนา ถึงแก่ได้นำมาใช้เป็นบทบริกรรมภาวนาในเมื่อนั่งสมาธิ
ฉะนั้นจึงขอนำมาแปลไว้ในที่นี้ เพื่อได้ซาบซึ้งถึงพระคุณนามข้อนี้ไว้บ้าง แต่การจะพรรณนาให้สิ้นสุดได้ เมื่อคิดเทียบแล้วก็เท่ากับ อากาศในปีกนก กล่าวคือ บรรดาอากาศทั้งหลายในสากลโลกมีมากสุดที่จะคณนา แต่คิดเฉพาะอากาศเท่าที่ปีกนกกระพือขณะที่บินหนหนึ่ง จะมีอากาศอยู่ในระหว่างปีกนกนิดเดียวในจำนวนอากาศทั้งหลาย นี่ฉันใดก็ฉันนั้น
อรหํ แปลสั้นๆ ว่า ไกล ว่า ควร เป็น ๒ นัยอยู่
ไกล หมายความว่า ไกลจากกิเลส หรือว่าพ้นจากกิเลสเสียแล้ว ไกล ตรงกันข้ามกับปุถุชนคนเรา ซึ่งยังอยู่ใกล้ชิดกิเลส
พระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่องดังแท่งทองชมพูนุท หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ใสเหมือนดวงแก้วอันหาค่ามิได้ สมคำที่ว่า พุทธรัตนะ ประกอบด้วย ตาทิโน เป็นผู้คงที่ไม่หวั่นไหว หากจะมีของหอมมาชะโลมไล้พระวรกายซีกหนึ่ง และเอาของเหม็นมาชโลมซีกหนึ่ง พระหฤทัยของพระองค์ก็ไม่แปรผันยินดียินร้ายประการใด
และเปรียบได้อีกสถานหนึ่งว่า อินทขีลูปโม พระทัยมั่นคงดังเสาเขื่อน ถึงจะมีพายุมาแต่จาตุรทิศก็ไม่คลอน เมื่อเช่นนี้ จึงมีนัยที่แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นผู้ควร คือเป็นผู้ที่เราสมควรจะเทิด จะบูชาไว้เหนือสิ่งทั้งหมด
อรหํ เป็นนามเหตุ พระคุณนาม นอกนั้นเป็นนามผล
ว่าในด้านภาวนา กายนี้มีซ้อนกันเป็นชั้นๆ
มีกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์
กายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายทิพย์
กายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายรูปพรหม
กายธรรมซ้อนอยู่ในกายอรูปพรหม
คนเราที่ว่าตายนั้น คือกายทิพย์กับกายมนุษย์หลุดพราก ออกจากกัน เหมือนมะขามกะเทาะล่อนจากเปลือก ฉะนั้น กายทิพย์ก็หลุดจากกายมนุษย์ไป
การละกิเลสของพระองค์หลุดไปเป็นชั้นๆ ตั้งแต่กิเลสในกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เป็นลำดับไป
กิเลสในกายมนุษย์คือ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ
กิเลสในกายทิพย์คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กิเลสในกายรูปพรหมคือ ราคะ โทสะ โมหะ
กิเลสในกายอรูปพรหมคือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย
ต่อแต่นี้ไป จึงชักเข้าถึงกายหนึ่ง คือ กายธรรม หรือเรียกว่า ธรรมกาย เข้าชั้นโคตรภูจิต เรียกว่า โคตรภูบุคคล
โคตรภูบุคคลนี้ เดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจ ๔ เป็นอนุโลมปฏิโลม จนหลุดพ้นจากกิเลส พวกสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสแล้วตกศูนย์วับกลับเป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าพระโสดาบันละกิเลสได้ ๓ คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
แล้วกายโสดาบันนี้เดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจ ๔ เป็นอนุโลมปฏิโลม ต่อไปถึงขีดสุด ละกิเลสได้อีก ๒ คือกามราคะ พยาบาทชั้นหยาบ จึงเลื่อนชั้นขึ้นเป็นสกทาคามี
กายพระสกทาคามีเดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจ ๔ ทำนองเดียวกันนั้นต่อไปถึงขีดสุด ละกิเลสได้อีก ๒ คือกามราคะ พยาบาทขั้นละเอียด จึงเลื่อนชั้นเป็นพระอนาคามี
แล้วกายพระอนาคามีเดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจ ๔ ทำนองเดียวกันนั้นต่อไปถึงขีดสุด ละกิเลสได้อีก ๕ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา จึงเลื่อนขึ้นจากพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์ จิตของพระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกิเลสทั้งมวลจึงได้พระเนมิตกนามว่า อรหํ
กัณฑ์ที่ 1 - พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ