"(ปุจฉา: เป็นพวกโทสะจริต พยายามจะใช้ความเมตตาแต่บางทีมันก็ไม่ไหว จึงหลีกเลี่ยงไม่พบไม่เจอคนที่เรากลัวว่าจะเป็นทุกข์จากการกระทำของเขาอีก ?)

..การฝึกเมตตานี้ไปเจอกับของจริง เจอกับคนที่โกรธเลยเอาไม่อยู่หรอกโยม ก็เหมือนไฟที่มันมีกำลังมาก แต่น้ำมันมีกำลังน้อยอยู่ มันสู้กันไม่ได้

ก็ต้องมาฝึกในช่วงปกติก่อน ฝึกกับคนที่รักก่อน แต่พอเก่งมากๆเป็นไง กำลังเมตตาดีมากๆ เหมือนน้ำมีกำลังมากแล้ว พอเจอไฟแล้วมันดับได้โยมอย่างนี้ ไปฝึกเผชิญได้แล้ว พอเก่งแล้วก็เริ่มไปฝึกกับคนที่เราไม่ชอบใจ กว่าจะถึงตรงนั้นโยมต้องไปฝึกปูลาดไปก่อน

หรือบางคนก็ใช้วิธีการพิจารณาวางใจไปก่อน แต่พอฝึกไปมากๆกำลังสติสัมปชัญญะมีกำลัง ทีนี้ก็สามารถรู้เท่าทันตรงๆได้ที่เรียกว่า การปล่อยวาง พอเจอก็รู้ได้เริ่มมองเข้าใจ เห็นเหตุปัจจัยแยกแยะได้เริ่มเห็นเหตุปัจจัยว่าทำไมเขาถึงทำไม่ดีกับเรา เริ่มเห็นเหตุปัจจัยเพราะว่าเขาอาจจะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นคนแบบนี้ มันมอง มันเข้าใจมันยอมรับได้มันก็ไม่โกรธอย่างนี้ มันมีระดับของมันอยู่โยมระดับตั้งแต่ระดับการสำรวม การลดการสัมผัส และระดับของการรู้เท่าทัน รู้ซื่อๆตรงๆได้เนี่ย เราก็ค่อยๆเรียนรู้ไป

เพราะฉะนั้น วิธีการมีระดับตั้งแต่เบสิค (Basic) และระดับค่อยๆ แอดวานซ์ (Advance) ขึ้นมาตามกำลังสติปัญญาของเรานั่นเองนะโยมจะใช้ระดับไหนโยมก็ต้องรู้ประมาณตัวเอง.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธเขมรังสี (ศูนย์ 4) จ.พระนครศรีอยุธยา

บ่าย 31 ธันวาคม 2566

#ฝึกมีเมตตา #ระงับความโกรธ #ปล่อยวาง #ปุจฉา #ถามตอบ #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..เมื่อเข้าใจกายใจตนเอง มันก็เข้าใจกายใจคนอื่นไปหมดแหละโยม มันจะหลุดจากการยึดมั่นถือมั่น มันจะวางของหนักของร้อนไปเองโดยธรรมชาติเลย

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละเป็นทางสายเดียว เป็นทางสายเอกที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ ทำให้เข้าถึงความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลายได้ เข้าถึงความบริสุทธิ์ของจิตใจ ..เป็นไปเพื่อความก้าวพ้นความโศกความร่ำไรรำพัน ..เป็นไปเพื่อความดับความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ..เป็นไปเพื่อการบรรลุธรรมที่ถูกต้อง คือ พระนิพพานได้

เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่รู้จะฝึกอะไรก็ฝึกสติสัมปชัญญะ ฝึกไว้ก่อนเพราะอันนี้มันต่อยอดได้ทั้งหมด กิเลสทั้งหลายทั้งปวงรากเหง้ามันก็มาจากความหลงทั้งนั้น ราคะก็ดี โทสะก็ดี ความโลภความโกรธก็ดี มันเป็นมือเป็นไม้ของตัวหลงอโยม ของอวิชชา ของความหลง

ถ้าเราจะไปแก้กัน ก็คือ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ก็คือ มาฝึกสติสัมปชัญญะให้เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา เริ่มเห็นการเห็นใจรู้อะไรเป็นอะไรเกิดปัญญาเกิดแสงสว่างในตัวเอง เมื่อมีปัญหาเดี๋ยวเมตตาก็ตามมา ความไม่โลภก็ตามมา ความไม่โกรธก็ตามมา ความไม่หลงก็ตาม

ก็เหมือนกันนะ รากเหง้าของกุศลธรรม ก็คือ ปัญญา ความรู้ บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา เป็นแสงสว่างในตัวเองเมื่อมีปัญญาเสียแล้ว เดี๋ยวเมตตาก็มา เดี๋ยวความเสียสละ ความไม่โลภ ความไม่เห็นแก่ตัวก็ตาม คุณงามความดีทั้งหลายก็ตามมา

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า

..หากพูดถึงกองกุศลธรรมทั้งปวง บ่อเกิดแห่งกุศลธรรมทั้งปวงถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสติปัฏฐาน 4..

อย่างทางโลกนี้เราก็ต้องมีแหล่งหาทรัพย์ใช่ไหมโยม สมัยนี้อะไรอะไรก็ต้องใช้เงินนะ จะมีบ้านมีรถมีกินมีใช้ก็ต้องหาเงินหมด โยมไปทำงานหาเงินเดี๋ยวก็ต้องมีแหล่งหาทรัพย์ ถูกไหม มีที่ทำงานมีธุรกิจมีหลักในการหาทรัพย์ในการจับจ่ายใช้สอยใช้ชีวิต นั่นคือเรื่องกายภาพ เรื่องของจิตใจก็คือเรื่องของกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงแหล่งของอริยทรัพย์ แหล่งของกองกุศลธรรมทั้งปวงก็คือ สติปัฏฐาน๔ นั่นเอง ฝึกสติสัมปชัญญะกัน ฝึกความรู้สึกตัวกัน มอบคุณค่าที่แท้จริงให้กับชีวิตตัวเองตรงนี้ให้มีแสงสว่างในจิตใจ

เมื่อญาติโยมเริ่มมีแสงสว่างในจิตใจ บุญกุศลที่เหลือมันจะค่อยๆพัฒนา มันจะตามมาหมดแหละ โยมจะเริ่มคิดเป็นคิดถูกคิดดีพูดดีทำดี เริ่มละสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง มันจะเป็นไปเพื่อการลดละเลิก.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธเขมรังสี (ศูนย์ 4) จ.พระนครศรีอยุธยา

บ่าย 31 ธันวาคม 2566

#ฝึกมีเมตตา #เข้าใจตนเข้าใจผู้อื่น #รากเหง้ากุศลธรรม #ปุจฉา #ถามตอบ #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..ถ้าเราวางใจว่าจะฝึกให้สงบ จิตจะดิ้นพอไม่ได้ดั่งใจก็กระสับกระส่ายกระวนกระวาย แต่ถ้าเราวางใจให้ถูกก็ฝึกสติไปรู้เนื้อตัวไป มันสงบก็รู้ไม่สงบก็รู้ มีอาการเกิดขึ้นก็รู้สึกตัวรู้เนื้อรู้ตัวไปค่อยๆฝึกไป

ใหม่ๆอาจจะใช้การเคลื่อนไหวซะมากกว่า ความรู้เนื้อรู้ตัวจากการเดินการขยับกายการเคลื่อนไหวต่างๆ

พอ ฝึกไปมากๆสติสัมปชัญญะมีกำลังอยู่ในรู้เนื้อรู้ตัวมาก ทีนี้จิตมันเริ่มตื่นตัว เริ่มตื่นเนื้อตื่นตัว จิตเริ่มตั้งมั่นขึ้นมาทีนี้แหละ มันจะอยากหลับตานั่งสมาธิลง

ถ้าโยมฝึกสติและไปถึงจุดหนึ่งมันจะอยากหลับตาเข้าถึงความสงบภายใน เมื่อนั้นแหละคือภาวะที่พร้อมเข้าสู่สมาธิ

พื้นฐานก็ฝึกสติสัมปชัญญะก่อน ทำให้มากเจริญให้มาก ให้มีความรู้เนื้อรู้ตัวมีความตื่นตัว จิตมันไหลไปก็รู้ๆ ฝึกไปเดี๋ยวมันก็ไหลไปคิดเรื่องบ้าน คิดเรื่องแฟน คิดเรื่องคนนู้นคนนี้ไป

ก็กลับมาเดี๋ยว กลับมารู้สึกตัวทำความรู้สึกตัวให้มาก ใช้การขยับกายช่วย บางทีมันไหลมากเลยขยับมือขยับมือรู้สึกตัวการคู้เหยียดเคลื่อนไหว การขยับกายขยับขารู้เนื้อรู้ตัวให้มาก อันนี้รากฐานที่สำคัญ เหมือนต้นไม้เนี่ยจะเติบโตได้มันต้องหยั่งรากลงไป

รากฐานของการฝึกปฏิบัติ ก็คือ สติสัมปชัญญะ จะทำให้มีรากฐานของการฝึกปฏิบัติที่ดี สมาธิที่เกิดขึ้นก็จะเป็นสมาธิที่มีความมีสติสัมปชัญญะมีความรู้ตัว รับรู้สภาวะที่ปรากฏได้ดี.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

เช้า 31 ธันวาคม 2566

#วิธีฝึกสติ #สติสัมปชัญญะ #รากฐานการฝึกปฏิบัติ #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"...จะเริ่มต้นปีใหม่ก็ถือโอกาสนี้แหละ มาเสริมสร้างกำลังใจ เพาะบ่มจิตใจที่เป็นกุศล

..น้อยคนที่จะสนใจใฝ่ธรรม

..น้อยคนที่จะสนใจความสงบ

..น้อยคนที่จะสนใจที่ก้าวเดินอยู่ในเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์

สิ่งนี้ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์

ในครั้งหนึ่งพระศาสดาท่านตรัสถึงการอุบัติขึ้นของพระตถาคตเจ้าได้เกิดความมหัศจรรย์ 4 ประการ

(1) ข้อแรกคือประชาชนที่พอใจในกามคุณ ยินดีในกามคุณ บันเทิงอยู่ในกามคุณ

ในครั้งที่พระองค์แสดงธรรมเป็นไปเพื่อการดับกามคุณ เขากลับเงี่ยหูฟัง ตั้งใจฟัง เพื่อที่จะรู้ทั่วถึง

..นี่เป็นความมหัศจรรย์ประการแรก เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น..

โยมลองดูทุกมุมโลก หลายพันล้านคน ช่วงปีใหม่ก็มีความบันเทิงมากมาย มีร้านอาหารที่อร่อย มีรายการที่น่าดู countdown ปีใหม่ มีหนังที่น่าดู มีสถานที่อันวิจิตรมากมายอยู่ทุกมุมโลก เรียกว่า ความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส อันน่ารักใคร่น่าพอใจเต็มไปหมดเลย

แต่กลับมีคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่สนใจในการพรากออกจากกามคุณ เห็นโทษของกามคุณ สนใจในธรรมที่เป็นไปเพื่อดับกามคุณทั้งหลาย

สิ่งที่ถือเป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นประการแรก

(2) ประชาชนที่พอใจในการถือตัว ยินดีบันเทิงอยู่กับการถือตัว ..ในครั้งพระตถาคตแสดงธรรมเป็นไปเพื่อดับความถือตัว เขากลับตั้งใจฟัง เงี่ยหูฟัง เพื่อที่จะรู้ทั่วถึง ..นี่เป็นความมหัศจรรย์ประการที่สองที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

คนส่วนก็มีความถือตัว ถือตัวก็เรียกว่ามีอัตตาอีโก้ มีความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง เรายิ่งใหญ่

แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัส 'สรรพสิ่งเป็นอนัตตา' ตัวเราก็ไม่มี ของ ๆ เราก็ไม่มี กลับมีคนกลุ่มเล็ก ๆ เริ่มสะกิดใจ

ที่พระศาสดาท่านตรัสถึง กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย ไม่ใช่ของบุคคลเหล่าอื่น กลับมีกลุ่มเล็ก ๆ เริ่มเอะใจในคำสอนของพระองค์ ในธรรมที่เป็นไปเพื่อความดับอัตตาตัวตน ดับความถือตัว นี้เป็นความมหัศจรรย์ประการที่สอง...

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระวรินทร นิทฺทโร (พระผู้ช่วยสอน)

ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธเขมรังสี (ศูนย์ 4) จ.พระนครศรีอยุธยา

ค่ำ 30 ธันวาคม 2566

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..การภาวนา ก็คือ การทำให้เจริญขึ้นทำให้จิตเจริญขึ้น ให้เกิดความสงบตั้งมั่นเกิดจิตใจที่ดีงามเกิดกุศลธรรมต่างๆ ทำให้เกิดสติเกิดปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่างๆ

อันจะเป็นสิ่งที่จะนำพาชีวิตของตนเอง เรียกว่า มีแสงสว่าง

ปัญญาท่านอุปมาไว้ว่า แสงสว่างใดก็เสมอด้วยปัญญาไม่มี

อย่างเวลาเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้เราก็ต้องมีแสงสว่าง

อย่างกลางคืนตอนมืดนี่ เดือนมืดเนี่ย ถ้าไม่มีแสงไฟมองอะไรก็ไม่เห็น ถ้ามองอะไรไม่เห็นหรือว่าเราหลับตาอยู่ ไปไหนก็ไม่ถูกมันมืดไปหมด

แต่ถ้ามีแสงสว่างพอเห็นทางก็พอใช้ชีวิตได้

ภายนอกก็ต้องมีแสงสว่าง ภายในจิตใจก็เช่นกัน

ถ้าจิตใจขาดแสงสว่าง ขาดปัญญา เป็นจิตที่ยังอยู่ในความมืดมนอยู่ ก็จะหลงพาชีวิตตกต่ำจมสู่กองทุกข์ ทำสิ่งที่ผิดพลาด ทำสิ่งที่เกิดความเสียหาย ทำสิ่งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด เกิดความทุกข์ทรมานได้มากทีเดียว

ค่าของความไม่รู้

เจ็บไหมญาติโยมค่าของความไม่รู้เนี่ย

พอไม่รู้จึงทำสิ่งที่ผิดพลาดไปมากเลย เพราะความไม่รู้จึงทำชีวิตตัวเองให้ผิดพลาดได้มากทีเดียว หลายคนก็ยังจมอยู่กับเรื่องเก่าๆความรู้สึกผิดต่างๆ

รู้อะไรก็ไม่สู้รู้งี้ใช่ไหม

แต่มันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ใช่ไหม มีไหมหลายสิ่งที่อยากย้อนกลับไปแก้ไขรู้งี้ก็ไม่ทำ หรือรู้งี้ก็ไปทำให้ดี

รู้งี้ตอนเด็กขยันเรียนดีกว่าโตขึ้นมาจะได้ไม่ลำบาก

รู้งี้ดีกับเพื่อนดีกว่าจะได้ไม่ต้องทะเลาะแตกแยกกัน

รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้ก็แสดงให้เห็นว่าขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าขาดปัญญานั่นเอง

แต่ถ้ามีปัญญานี้เท่ากับมีแสงสว่างในตนเองรู้อะไรเป็นอะไร รู้สิ่งที่ควรละ รู้สิ่งที่ควรทำ รู้ทางแห่งความเจริญรู้ทางแห่งความเสื่อม

รู้เหตุแห่งความสุข รู้เหตุแห่งความทุกข์

ก็จะรู้จักใช้ชีวิตได้ถูกต้อง

อันนี้แหละคือมงคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต

มีแสงสว่างในตนเอง ก็คือเป็นผู้ที่มีปัญญานั่นเอง.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

บ่าย 30 ธันวาคม 2566

#ปัญญา #แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี #มงคลชีวิต #ภาวนา #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..เคลื่อนสู่ที่จะคบสิ้นปี ญาติโยมก็เป็นช่วงหยุดงาน ก็ได้เดินทางมาที่สวนธรรมกัน บางท่านก็ถือโอกาสช่วง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็อยากที่จะมอบสิ่งที่ดีให้กับชีวิต เริ่มต้นชีวิตด้วยสิ่งที่เป็นมงคลอันสูงสุด ก็แทนที่เราจะไปเพลิดเพลินสนุกสนานกับการเฉลิมฉลองต่างๆ ก็เลือกที่จะปลีกตัวมาปฏิบัติธรรม

ก็ถือโอกาสที่ได้ทบทวนตัวเอง กับช่วงเวลาที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่ยังบกพร่อง ยังทำผิดพลาดไป ก็เป็นประสบการณ์เรียนรู้ ไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก ก็ถือโอกาสได้เรียกว่า การจะส่งท้ายปีเก่าก็ต้องได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เพื่อส่งต่อช่วงต่อไปได้

ก็เรียกว่า มีชีวิตที่เติบโตขึ้น ตั้งแต่ภายในจิตใจ การจะเกิดสิ่งนั้นได้นี้ก็ต้องเรียกว่า มีความเห็นที่ตรง มีความเข้าใจเรื่องของกรรม เรื่องของผลของการกระทำ

พวกเราทุกคนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติก็มีกฎของธรรมชาติ เรียกว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเนี่ยมันไม่ได้มีอะไรบังเอิญเลย ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เหตุปัจจัยนี่ก็มีหลายอย่างมากมายเป็นองค์ประกอบ จะเป็นเรื่องเหตุปัจจัยในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน ถึงวาระให้ผลก็ตาม เหตุปัจจัยพฤติกรรมการใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ตาม

ผลย่อมมาจากเหตุเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตทำให้เกิดความสุขก็ดี เกิดความทุกข์ก็ดี เกิดเรื่องราวต่างๆก็ดี มันไม่ได้มีอะไรบังเอิญเลย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

ครั้งหนึ่งพราหมณ์ก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า พราหมณ์เขาก็ปรารถนาความมีมงคลชีวิตมีฤกษ์ที่ดีมียามที่ดีต่างๆ อยากให้ชีวิตดี เมื่อมีโอกาสก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า มงคลชีวิต

พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า

..เมื่อใดบุคคลคิดดีพูดดีทำดีนั่นแหละ เมื่อนั้นแหละฤกษ์ดียามดีเป็นมงคลอันสูงสุด..

เพราะสิ่งต่างๆมันมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

จะเกิดผลที่ดีก็มาจากการสร้างเหตุที่ดีงามนั้่นเอง มันไม่ได้เป็นไปตามใจไม่ได้เป็นดั่งจากการที่เราอยากจะให้มันเป็น แต่มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น เราก็ควรที่จะทำความเห็นให้ตรงเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตไว้.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

เช้า 30 ธันวาคม 2566

#ส่งท้ายปีเก่า #ทบทวนชีวิต #มงคลสูงสุด #พื้นฐานการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"...พอเห็นความจริงของกายใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ สภาพทุกข์ที่คงสภาพเดิมไม่ได้เลย

น่าแปลกนะ ถ้าเห็นทุกข์มาก ๆ กลับเป็นทางแห่งความพ้นทุกข์

ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นก็มีทางพ้นทุกข์ ที่นั่นก็มีความดับทุกข์

เรียกว่าเข้าทางไหนก็ออกทางนั้น

น่าแปลกเหมือนกัน เป็นความมหัศจรรย์ ..ยิ่งเห็นทุกข์ของกายของใจมาก ๆ กลับพบกับความเป็นอิสระ แต่ถ้ายิ่งเติมความสุขให้กายให้ใจไปมากเท่าไหร่ จะพบความไม่เป็นอิสระ

..เป็นความอัศจรรย์ดี..

ถ้าหมั่นเข้ามาเรียนรู้กายใจตามความเป็นจริง ก็จะค่อย ๆ พบมิติมุมมองของอริยสัจทีละเล็กทีละน้อย

หมั่นสร้างความคุ้นชินให้ใจได้เป็นกุศล มีกายคตาสติเป็นหลักของใจ

หมั่นที่จะออกมาจากเรื่องราวต่าง ๆ

จิตคิดถึงสิ่งใด ดําริถึงสิ่งใด มีจิตฝังลงไปในสิ่งใด ..สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่ของวิญญาณ ภพย่อมเกิดขึ้น

ภพแม้เพียงลัดนิ้วมือ พระองค์ก็ตรัสว่าน่ารังเกียจดุจมูตรคูถ

ถ้าเราปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับโลกของความคิด สักพักหนึ่งจะเริ่มเกิดเรื่องราวขึ้นมา สร้างโลกขึ้นมา

พอจิตฝังลงไปในเรื่องราว ย่อมเกิดอารมณ์ เกิดอารมณ์ ..ย่อมมีผู้เสวยอารมณ์ มีผู้เป็นสุขเป็นทุกข์ไปกับเรื่องราว..."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระวรินทร นิทฺทโร (พระผู้ช่วยสอน)

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

ค่ำ 29 ธันวาคม 2566

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"(ปุจฉา: ถอยออกจากสมาธิ รีบเกินเหมือนมีอาการลมจุกเสียด แน่นไปหลายชั่วโมง เป็นเพราะอะไรเจ้าคะ ?)

..ในการเข้าถึงสภาวะในสมาธิ มันมีชั้นของสภาวธรรมในแต่ละระดับอยู่นั่นเองนะ เมื่อเราฝึกไปถึงจุดหนึ่งแล้วเราเริ่มเข้าถึงความสงบภายใน เราจะรู้ได้ว่ามันมีระดับชั้นของสภาวธรรมที่เข้าถึงในแต่ละระดับลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ ลาดลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ

เข้าแบบใด เวลาถอยออกมาก็ถอยออกมาแบบนั้น ไม่ถอยพรวดพราดออกมา ก็ไต่มาเป็นลำดับๆ ลำดับๆ มา

เหมือนเราเดินขึ้นบันไดน่ะ ขั้น 1 ขั้น 2 ขั้น 3 ชั้น 4 เวลาลงก็ลงตามนั้นแหละนะ 3 2 1 ถึงภาคพื้น

เพราะฉะนั้น ผลจากการที่เราเข้าถึงสมาธิแล้วถอยออกมาที่กายพรวดพราด มันก็จะเกิดอาการเรียกว่ารวนได้ ภาวะมันก็รวนไป ก็เป็นการเรียนรู้ให้สิ่งที่เกิดขึ้น ต่อไปก็จะได้เรียนรู้แล้วก็เวลาเข้าถึงสมาธิ ดำรงอยู่ในสมาธิ แล้วเวลาถอยออกมา ก็มีระดับในการถอยออกมา ไม่พรวดพราดถอยออกมา

หรือแม้กระทั่งเวลาฝึกอยู่ แล้วมันมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ต้องออกจากสมาธิ ก็ไม่ออกพรวดพราด ค่อยๆ ถอยระดับออกมา โดยเฉพาะสมาธิจริงๆ ชั้นกายหายไปแล้ว มันก็ต้องมีระดับ ระดับถอยออกมา ถอยออกมา แล้วก็เริ่มสัมผัสกายได้ เริ่มประสาทสัมผัสรับรู้ได้ ถอนออกจากสมาธิได้อย่างนี้

ก็เป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้ฝึกฝน สำหรับผู้ที่พัฒนาเข้าถึงสมาธิก็ ก็เรียกว่า ฝึกให้มีความชำนาญ ชำนาญในการเข้าสมาธิ ในการทรงอยู่กับสมาธิ ในการถอยออกจากสมาธิ

เหมือนขับรถเนี่ย ขับรถก็มีเกียร์ 1 เกียร์ 2 เกียร์ 3 เกียร์ 4 เกียร์ 5 ก็ปรับเกียร์ ปรับความเร็วให้เหมาะสมแก่การใช้งานต่างๆ

การฝึกปฏิบัติเมื่อเข้าถึงสภาวะภายในก็เช่นกัน เวลาเราถอยออกมากายภาพ เราก็ค่อยๆ ถอยออกมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ควรที่จะมีความละเมียดละไมทั้งขาเข้าและขาออกนั่นแหละนะ ฝึกไว้.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

เช้า 29 ธันวาคม 2566

#ความชำนาญในสมาธิ #เข้าออกสมาธิ #สภาวธรรมในชั้นสมาธิ #ปุจฉา #ถามตอบ #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..กิเลสหยาบๆก็ชำระกันด้วยศีล ความสำรวมกาย วาจา

..กิเลสระดับกลาง ก็ชำระด้วยสมาธิความตั้งมั่นของจิตใจ

..กิเลสอย่างละเอียด อาสวะอนุสัยที่หมักดองในขันธสันดาน ก็ต้องถอนกันด้วยปัญญาญาณอันเกิดจากวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณท่านจึงถือว่าเป็นกุศลอันสูงสุด มีกำลังมากที่จะสามารถชำระล้างกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆที่หมักหมมอยู่ในขันธสันดานจนเกิดมรรคญาณ ผลญาณ ขุดรากถอนโคนออก สิ่งที่มันจะสะสมอยู่

เพราะฉะนั้น เรามีโอกาสเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ก็เนี่ยแหละโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิตการชำระสะสางสิ่งที่สะสมอยู่ในขันธสันดานต่างๆ ถ้าไม่ชำระตอนนี้มันจะไปชำระกันตอนไหน สิ่งภายนอกมันก็อยู่กับเราชั่วคราว แต่สิ่งที่มันสะสมในขันธสันดานนี่มันยังติดตัวไปแล้วยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ถ้ากิเลสมีกำลังมากมันก็ดึงเราลงต่ำ ตกต่ำไปเรื่อยๆ จมสู่อบายภูมิ ความทุกข์ต่างๆก็ท่วมทับ ก็ต้องใช้โอกาสนี้แหละ ในการชำระสะสางให้มันเบาบางลงไป

กิเลสเป็นของหนักของร้อน ถ้าชำระสะสางมันก็ค่อยๆลดความหนักความร้อนลงในจิตใจ จิตก็เบาสบายปลอดโปร่งเป็นอิสระก็ต้องเเพาะบ่มศีลสมาธิปัญญาให้ไพบูลย์ องค์ธรรมต่างๆที่เป็นไปในฝักฝ่ายของการตรัสรู้ที่เรียกว่าโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เพาะบ่มปัญญาให้เกิดขึ้นให้เจริญขึ้นเป็นไปเพื่อการตรัสรู้ เป็นเรือแพที่ใช้ในการข้ามฝั่ง จากฝั่งของที่จมอยู่กับกองทุกข์ที่เต็มไปด้วยเภทภัยต่างๆ ไปสู่ฝั่งที่หลุดพ้นจากความทุกข์ เรียกว่า แดนอันเกษมที่ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง ก็ต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติตนเอง.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระอาจารย์​มหาวรพรต​ กิตฺติวโร

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

เช้า 28 ธันวาคม 2566

#กิเลส #อนุสัย #อาสวะ #ปฏิบัติธรรม #ชำระกิเลส #ปุจฉา #ถามตอบ #ธรรมอารี #พระมหาวรพรต

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..ก็ค่อย ๆ เห็นเหตุเห็นปัจจัยทีละเล็กทีละน้อย ค่อย ๆ ละเหตุไป

เห็นโทษของกามคุณทั้งหลายให้มาก เห็นความเป็นโทษ มีสุขน้อย มีโทษมาก มีความคับแค้นใจมาก เหมือนหอกที่ทิ่มแทงหัวใจ ให้ความสุขนิดเดียว แป๊บเดียว แล้วก็หายไป

ดูหนังเรื่องหนึ่งนี่มีความสุขตอนไหน ?

ถ้าเราลองสังเกตุใจดี ๆ หนัง 2 ชั่วโมงเนี่ย ใจหวั่นไหวตลอดเวลาเลย ใจเต้นตึกตัก ๆ ตลอดเวลา เรียกว่า 'สร้างเหตุของความไม่สงบไว้'

ถ้าจะนั่งสมาธิให้เกิดความสงบ ก็ดูจะไม่ค่อยเหมือนกันนะ

ก็เปลี่ยนเหตุใหม่ คอยลด ละ เลิก อะไรเป็นเหตุที่กระตุ้นความร้อนอกร้อนใจ เราก็ค่อยปรับ ค่อย ๆ ลด ละ เลิก ไป

ใจก็จะค่อย ๆ เดินทางสู่ความสงบขึ้นมา

ใจสงบก็มีความสุขนะ มีความสุขเป็นความผาสุกที่คนที่ทางโลกที่แสวงหา รูป รส กลิ่นเสียง ที่คนไม่ค่อบได้สัมผัส

น้อยคนที่จะเคยสัมผัสความสงบ

แม้สงบเพียงเล็กน้อย ก็เปลี่ยนวิถีได้เลยนะ.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย

พระวรินทร นิทฺทโร (พระผู้ช่วยสอน)

ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา

ค่ำ 27 ธันวาคม 2566

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่

Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree

Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation

YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree

Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/

SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree

LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol

LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ

Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com

TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree