
Sign up to save your podcasts
Or
สวัสดีทุกคน! ชีวิตในวัยเด็กของผมอาจทำให้คุณต้องตกใจ แต่ในขณะเดียวกันมันอาจช่วยให้คุณเปลี่ยนความคิดที่ว่าชีวิตของคุณมันลำบากแค่ไหน และเมื่อคุณพร่ำบ่นหรือน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาตัวเอง คุณจะต้องจำไว้เสมอว่ายังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ลำบากมากกว่าคุณ แต่คุณก็ยังสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยการกำหนดทางเดินชีวิตของตัวเอง และบางทีคุณอาจจะพอมีโชคอยู่บ้าง เอาหล่ะ มาฟังเรื่องราวของผมกัน ผมขอเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ชีวิตของผมเริ่มลืมตาดูโลก แน่นอนผมจำอะไรในตอนนั้นไม่ได้หรอก แต่พอหลังจากที่ผมรู้ความจริง ผมก็รู้สึกทั้งมีความสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน แล้วคุณจะเข้าใจว่าเพราะอะไร ขอให้ผมอธิบายให้คุณฟัง คุณรู้มั้ยครอบครัวของผมยากจนมากตอนที่ผมเกิด พ่อกับแม่ของผมไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะจ่ายให้กับหมอคนที่ทำคลอดให้ผม คุณจินตนาการออกมั้ย? และคุณรู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อไป? หมอคนนั้นเสนอให้พ่อแม่ผมทิ้งผมไว้กับเขา...แทนเงินที่จะต้องจ่ายในการทำคลอด ผมจินตนาการออกว่าเขาจะทำอะไรกับทารกแรกเกิดอย่างผม แต่โชคดี ที่พ่อของผมพยามยามหาเงินและกู้ยืมเงินรวบรวมทุกบาททุกสตางค์จนกระทั้งครบตามจำนวนที่ต้องจ่ายให้กับผม
ผมเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และเพื่อใช้พลังเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ พ่อของผมจึงปลุกให้ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เราฝึกกังฟูด้วยกันและเขายังสอนให้ผมหัดทำกายกรรมง่าย ๆ เช่น ตีลังกาและโดดพลิกหลัง แต่เมื่อทักษะการต่อสู้และการแสดงกายกรรมของผมเริ่มพัฒนาดีขึ้น ทักษะการเรียนของผมกลับแย่ลง ผมมีความบกพร่องด้านความจำและไม่สามารถแม้กระทั่งเขียนคำให้ถูกต้องได้ ดังนั้นผมจึงสอบตกในปีแรกของการเข้าโรงเรียนประถม กระทั่งเพื่อน ๆ เลื่อนไปชั้นประถมปีที่สามแล้ว ผมก็ยังคงตามหลังพวกเขาอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อของผมตัดสินใจที่จะส่งผมไปเรียนการแสดง ที่โรงเรียนการละครท้องถิ่นแทน มันฟังดูน่าเหลือเชื่อใช่มั้ย? ผมยังคงจำได้ในวันแรกที่เดินเข้าไปในห้องโถงเก่า ๆ ของโรงเรียนได้อยู่เลย ผมกุมมือพ่อแน่น แต่แล้วความกลัวของผมก็หายไปเมื่อผมมองเห็นเด็กมากมายทั้งรุ่นเดียวกับผมและแก่กว่า พวกเขากำลังซ้อมตีลังกาและซ้อมใช้ดาบและไม้ นี่มัน “ดิสนีย์แลนด์” สำหรับผมชัด ๆ มันเหมือนเป็นโลกแห่งเวทย์มนตร์ของผมเอง ผมจึงรีบปล่อยมือพ่ออย่างรวดเร็วและวางฝ่ามือเล็ก ๆ ไว้ในมือของ "ท่านอาจารย์" คนใหม่ของผม แต่เวทย์มนตร์นั้นมันก็หายไปในไม่ช้าและสีสันที่แท้จริงของสถานศึกษาแห่งนี้ก็เริ่มปรากฏออกมา ผมได้รู้ความจริงในภายหลังว่า เด็กที่ลงทะเบียนเรียนกับโรงเรียนนี้จะต้องทำสัญญาระหว่างผู้ปกครองกับฝ่ายบริหารขึ้นมาตามข้อตกลงโดยมีการลงนามทั้งสองฝ่าย ใจความสำคัญข้อหนึ่งในสัญญาคือผู้ปกครองจะต้องไม่เอาความใด ๆ ในกรณีที่บุตรของพวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือแม้แต่ ... เสียชีวิต พ่อแม่ของผมก็ลงนามในข้อตกลงนี้ เช่นเดียวกับผู้ปกครองของเด็กคนอื่น ๆ ที่โรงเรียน
ไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ ทั้งนั้นสำหรับผมทั้งที่โรงเรียนหรือที่บ้าน อัตราการว่างงานในประเทศบ้านเกิดของผมสูงขึ้นและเพื่อให้พ่อแม่ของผมยังคงมีงานทำอยู่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องย้ายตามเจ้านายที่ทำงานให้กับสถานทูตแห่งหนึ่งไปที่ออสเตรเลียด้วย แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะพาลูกชายอายุ 8 ขวบของพวกเขาไปด้วยมั้ย? คำตอบคือไม่ คุณอาจคิดว่ามันฟังดูแย่ที่ผู้ปกครองจะยอมทิ้งลูกเอาไว้ตามลำพังแบบนี้ แต่สำหรับครอบครัวของผมนั้น มันเป็นเรื่องของการดิ้นเราเอาชีวิตรอด
สวัสดีทุกคน! ชีวิตในวัยเด็กของผมอาจทำให้คุณต้องตกใจ แต่ในขณะเดียวกันมันอาจช่วยให้คุณเปลี่ยนความคิดที่ว่าชีวิตของคุณมันลำบากแค่ไหน และเมื่อคุณพร่ำบ่นหรือน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาตัวเอง คุณจะต้องจำไว้เสมอว่ายังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ลำบากมากกว่าคุณ แต่คุณก็ยังสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยการกำหนดทางเดินชีวิตของตัวเอง และบางทีคุณอาจจะพอมีโชคอยู่บ้าง เอาหล่ะ มาฟังเรื่องราวของผมกัน ผมขอเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ชีวิตของผมเริ่มลืมตาดูโลก แน่นอนผมจำอะไรในตอนนั้นไม่ได้หรอก แต่พอหลังจากที่ผมรู้ความจริง ผมก็รู้สึกทั้งมีความสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน แล้วคุณจะเข้าใจว่าเพราะอะไร ขอให้ผมอธิบายให้คุณฟัง คุณรู้มั้ยครอบครัวของผมยากจนมากตอนที่ผมเกิด พ่อกับแม่ของผมไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะจ่ายให้กับหมอคนที่ทำคลอดให้ผม คุณจินตนาการออกมั้ย? และคุณรู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อไป? หมอคนนั้นเสนอให้พ่อแม่ผมทิ้งผมไว้กับเขา...แทนเงินที่จะต้องจ่ายในการทำคลอด ผมจินตนาการออกว่าเขาจะทำอะไรกับทารกแรกเกิดอย่างผม แต่โชคดี ที่พ่อของผมพยามยามหาเงินและกู้ยืมเงินรวบรวมทุกบาททุกสตางค์จนกระทั้งครบตามจำนวนที่ต้องจ่ายให้กับผม
ผมเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และเพื่อใช้พลังเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ พ่อของผมจึงปลุกให้ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เราฝึกกังฟูด้วยกันและเขายังสอนให้ผมหัดทำกายกรรมง่าย ๆ เช่น ตีลังกาและโดดพลิกหลัง แต่เมื่อทักษะการต่อสู้และการแสดงกายกรรมของผมเริ่มพัฒนาดีขึ้น ทักษะการเรียนของผมกลับแย่ลง ผมมีความบกพร่องด้านความจำและไม่สามารถแม้กระทั่งเขียนคำให้ถูกต้องได้ ดังนั้นผมจึงสอบตกในปีแรกของการเข้าโรงเรียนประถม กระทั่งเพื่อน ๆ เลื่อนไปชั้นประถมปีที่สามแล้ว ผมก็ยังคงตามหลังพวกเขาอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อของผมตัดสินใจที่จะส่งผมไปเรียนการแสดง ที่โรงเรียนการละครท้องถิ่นแทน มันฟังดูน่าเหลือเชื่อใช่มั้ย? ผมยังคงจำได้ในวันแรกที่เดินเข้าไปในห้องโถงเก่า ๆ ของโรงเรียนได้อยู่เลย ผมกุมมือพ่อแน่น แต่แล้วความกลัวของผมก็หายไปเมื่อผมมองเห็นเด็กมากมายทั้งรุ่นเดียวกับผมและแก่กว่า พวกเขากำลังซ้อมตีลังกาและซ้อมใช้ดาบและไม้ นี่มัน “ดิสนีย์แลนด์” สำหรับผมชัด ๆ มันเหมือนเป็นโลกแห่งเวทย์มนตร์ของผมเอง ผมจึงรีบปล่อยมือพ่ออย่างรวดเร็วและวางฝ่ามือเล็ก ๆ ไว้ในมือของ "ท่านอาจารย์" คนใหม่ของผม แต่เวทย์มนตร์นั้นมันก็หายไปในไม่ช้าและสีสันที่แท้จริงของสถานศึกษาแห่งนี้ก็เริ่มปรากฏออกมา ผมได้รู้ความจริงในภายหลังว่า เด็กที่ลงทะเบียนเรียนกับโรงเรียนนี้จะต้องทำสัญญาระหว่างผู้ปกครองกับฝ่ายบริหารขึ้นมาตามข้อตกลงโดยมีการลงนามทั้งสองฝ่าย ใจความสำคัญข้อหนึ่งในสัญญาคือผู้ปกครองจะต้องไม่เอาความใด ๆ ในกรณีที่บุตรของพวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือแม้แต่ ... เสียชีวิต พ่อแม่ของผมก็ลงนามในข้อตกลงนี้ เช่นเดียวกับผู้ปกครองของเด็กคนอื่น ๆ ที่โรงเรียน
ไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ ทั้งนั้นสำหรับผมทั้งที่โรงเรียนหรือที่บ้าน อัตราการว่างงานในประเทศบ้านเกิดของผมสูงขึ้นและเพื่อให้พ่อแม่ของผมยังคงมีงานทำอยู่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องย้ายตามเจ้านายที่ทำงานให้กับสถานทูตแห่งหนึ่งไปที่ออสเตรเลียด้วย แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะพาลูกชายอายุ 8 ขวบของพวกเขาไปด้วยมั้ย? คำตอบคือไม่ คุณอาจคิดว่ามันฟังดูแย่ที่ผู้ปกครองจะยอมทิ้งลูกเอาไว้ตามลำพังแบบนี้ แต่สำหรับครอบครัวของผมนั้น มันเป็นเรื่องของการดิ้นเราเอาชีวิตรอด
63 Listeners
42 Listeners
62,487 Listeners
267 Listeners
15 Listeners
12 Listeners
14 Listeners
1 Listeners
67 Listeners
11 Listeners
18 Listeners
9 Listeners
4 Listeners
0 Listeners
0 Listeners