คอร์สอานาปานสติ วันที่ 7-10 ก.ย. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
นวปุราณวรรคที่ ๕ กรรมสูตรกรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมในปัจจุบัน ความดับของกรรม ข้อปฏิบัติในการที่จะถึงซึ่งความดับไปของกรรมอายตนะ๖เป็นวิบากของกรรมเก่า เราเกิดด้วยวิบากของกรรมเก่า กรรมใหม่คือตัวรู้ที่เข้าไปรับรู้ในรูปโดยผ่านตา ในเสียงผ่านหู ในกลิ่นผ่านจมูก ในรสผ่านลิ้น ในโผฏฐัพพารมณ์ผ่านกายประสาท ในธรรมอารมณ์ผ่านทางใจ เมื่อรับรู้แล้วปรุงแต่ง เป็นความรู้สึก เวทนา ดี ไม่มี หรือเฉยๆที่เกิดขึ้นในขณะจิตนั้นเป็นกรรมใหม่
ความดับของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ขณะใดที่ไม่มีกรรมคือการสัมผัสซึ่งความหลุดพ้น หยุดนิ่งของการเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ใจ คือตัวที่จะเข้าไปปรุงเพื่อที่จะให้เกิดการเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ดับ ทำให้กรรมดับ อาการที่ใจ เจตนาดับ กรรมทางใจก็ดับ ทางที่จะดับไปแห่งกรรม คือ มรรค
มรรค คือ การหยุดการเคลื่อนไหวของกาย วาจา ใจ คือ หยุดการปรุงแต่งที่จะนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ด้วยเจตนา อันเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม คราใดที่บุคคลมีมรรคปฏิปทา คือ ดำเนินไปด้วยมรรค กรรมก็จะดับ
มรรคทางปฏิบัติ หยุดอารมณ์ด้วยตัวรู้ที่เป็นอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง หยุดกรรม
ตัวรู้ที่ตั้งอยู่บนความตั้งมั่น แค่รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงที่ปรากฏ หยุดการปรุงแต่ง
ถ้าเป็นเรา หลงเข้าไปปรุง ปรุงว่าชอบหรือไม่ชอบเกิดเป็นกรรม
ถ้าเราตัดตัวตนของเราออกไป เหลือแค่รูปนามนี้เชื่อมต่อกับโลก ถอยกลับมาจากรูปที่ตาเห็นมาที่ตา ถอยมาที่ตัวรู้ รู้อยู่ในกาย รู้นี้คือวิญญาณธาตุเป็นมโนธาตุ เพื่อทำความเข้าใจ ถ้าไม่มีตัวรู้ ตาดูรูปก็ไม่เห็นรูป
อายตนะภายใน อานตนะภายนอก กระทบกัน มีตัวรู้เข้าไปรับรู้การกระทบนั้นจึงเป็นวิญญาณ
การเล่าเรียนหรืออารมณ์ของการเรียนรู้เพื่อเข้าสู่การปฏิบัตินั้นมีแค่ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ
ตา+รูป > จักขุวิญญาณ > จักขุสัมผัส(เห็นโดยสมบูรณ์)
ตัวอวิชชาหรือความหลงเข้าไปได้ตั้งแต่ จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส เห็นแล้วชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ สิ่งเหล่านี้เกิดจากการปรุงแต่งโดยการทำงานของอวิชชาและโมหะ เกิดการยึดด้วยอำนาจของสัญญาว่าชอบไม่สอบสิ่งนี้ เราเลยเข้าไปไม่ถึงตัวเองที่แท้จริง
เบื้องหลังของความชอบไม่ชอบคือเจตนา อาการที่จิตยกไป จงใจ ตั้งใจ ทำให้การปรุงขับเคลื่อนเข้าไปสู่การกระทำทางกาย วาจา ใจ
ดังนั้นกรรมคือเจตนาตัวนี้ ก่อนจะมีการกระทำต้องมีเจตนา
กรรมเก่าคืออายตนะ กรรมใหม่คือเจตนาที่เข้าไปสู่อายตนะ ความดับไปของกรรมคือการหยุดเจตนา
การให้จิตอยู่กับอารมณ์อันเดียวที่ไม่มีการปรุงแต่ง คือตัวรู้เป็นอิสระ สิ่งที่ถูกรู้เป็นธรรมชาติ จึงหยุดการปรุงแต่งได้ ตัวรู้ที่หยุดการปรุงแต่งคือสัมมาญาณและอยู่กับสัมมาสมาธิ(ความตั้งมั่น)
รู้อยู่กับนิ่ง นิ่งรู้ตรงๆก็คือ มรรค ขณะจิตใดที่นิ่งรู้อยู่ที่อาการกายอาการใจ ขณะนั้นหยุดเรื่องของกรรม
การปฏิบัตินอกเหนือจากเจริญสติเจริญฌาน คือการหยุดความเป็นไปแห่งกรรม
การสนองผลของกรรมไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปแก้ได้ เพราะจบไปแล้ว สมมติว่าเราสับมีดไปที่นิ้วเรา นิ้วขาด ผ่านไป 10 ปีนิ้วก็ยังขาดอยู่ เราไปแก้ไม่ได้ แต่เราไปจัดการในกรรมใหม่ และหยุดกรรมได้ด้วยวิธีการภาวนา ดังนั้นการปฏิบัติเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของรูปนาม(ไม่ใช่ของเรา) ของการมีชีวิตที่ยังไม่ตาย ชีวิตที่สามารถรู้รูปนาม เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ หยุดกรรมได้ ชีวิตนั้นประเสริฐ ซึ่งในสังสารวัฏนี้มีแต่มนุษย์เท่านั้น แต่ระยะของมนุษย์นิดเดียว เราใช้เวลาส่วนใหญ่ขณะที่ยังไม่ตายไปด้วยอำนาจของอวิชชาและความหลง อวิชชาจับมาตั้งแต่เป็นตัวอ่อน พออายตนะเริ่มแข็งแรง ใจที่เข้าไปรับรู้ในแต่ละอย่างรู้ไปด้วยอวิชชา จนถึงตอนนี้มีความหน่วงนึกอะไรออกไป ความหน่วงนึกนั้นประกอบไปด้วยอวิชชาเป็นหลัก ตามด้วยความหลง ด้วยอำนาจของสัญญาที่เป็นประสบการณ์ของชีวิตโดยออกมาในรูปแบบความเชื่อ ตัวที่มันยึดถือในสิ่งที่ตนเห็นว่าจริงอย่างนั้น จะรัดรึงใจไว้ด้วยอำนาจของสัญญา เราจึงมีอัตลักษณ์ของแต่ละคน
ถ้าเราถอยกลับมาสู่วิญญาณธาตุ คือตัวรู้ที่เป็นจุดตั้งต้น แล้วสติสัมปชัญญะวางไว้ หยุดการปรุงแต่ง เอาตัวรู้ตัวตรงๆตามความเป็นจริงทำหน้าที่เพียงแค่รู้ ก็จะหยุดอัตลักษณ์ทั้งหมด เพียรรู้อย่างนั้นเรียกว่าสัมมาวายามะ(เพียรชอบ) ตัวระลึกรู้ต่อสิ่งต่างๆเป็นสัมมาสติ ความเห็นที่เกิดขึ้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ความดำริเข้าไปสู่สิ่งใดๆก็ตามเป็นสัมมาสังกัปปะ วิตกวิจารหรือคำพูดที่เกิดก็เป็นสัมมาวาจา เพราะในขณะที่รู้นั้นยังคงดำเนินอยู่คุณสมบัติ๒อย่างที่เกิดคือกามวิเวก อกุศลวิเวก
ปัญญา3
- สุตมยปัญญา ฟังอ่านแล้วเข้าใจ
- จินตามยปัญญา คิดพิจารณาเห็นสภาวะปรากฏจริง
- ภาวนามยปัญญา เด่นชัดจากการภาวนา รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อย่างอิสระ แค่รู้เห็นสภาวะตามจริง