คอร์สอานาปานสติ วันที่ 7-10 ก.ย. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ธรรมทั้งหลายจะไม่ปรากฏในใจของบุคคลที่กระสับส่าย
และใจจะไม่ตั้งมั่นบนกายที่กระสับกระส่าย
เมื่อทะลุไปถึงกายใจแท้แล้ว สิ่งที่ปรากฏคือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ จึงจะเห็นลู่ทางของความตั้งมั่น
ตาเห็นรูป เกิดอาการหน่วงนึก ใจกระสับกระส่ายไปในทางรูปอันผ่านการรับรู้ทางตา ไม่มีความตั้งมั่น
เมื่อความกระสับกระส่ายเกิดขึ้น ความปราโมทย์(ความอิ่มอุ่นใจภายใน)จะหายไป เมื่อปราโมทย์ไม่มี ปิติ(ความอิ่มอกอิ่มใจ)ก็หายไป ความสงบระงับภายในหายไป ความสุขภายในก็จะหายไป ตัวตั้งมั่นที่มีก็จะหายไปด้วย เมื่อตัวตั้งมั่นไม่มีก็อยู่อย่างมีทุกข์ คนที่มีทุกข์ก็เพราะอาการกระสับกระส่าย
ความตั้งมั่นมีอยู่ แต่ทำงานไม่ได้เพราะอาการกระสับกระส่ายของใจที่เกิดด้วยอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
เมื่อผู้ใดมีความกระสับส่ายอย่างนี้ เรียกว่าอยู่ด้วยความประมาทเป็นปกติ จะจมอยู่กับทุกข์
การกระสับกระส่ายคือ ไม่มีการสำรวมควบคุมอายตนะ เมื่อมีสิ่งกระทบใจก็เทไปหา
ซึ่งความกระสับกระส่ายเหล่านี้ทำลายความปราโมทย์ ปีติ สุขอันเป็นสมบัติของจิต ความตั้งมั่น
เมื่อทำลายความตั้งมั่นเราก็เป็นเหมือนลูกดิ่งที่แกว่งอยู่ตลอดเวลา หมุนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้วิญญาณธาตุหรือตัวรู้เป็นชีวิตแล้ว(ประกอบไปด้วยกายและใจ) ตอนที่อยู่ในท้องแม่ ออกมาจากท้องแม้ วิญญาณธาตุอ่อนมาก ตอนที่เราเริ่มจำความความได้ ตอนนั้นวิญญาณธาตุเริ่มแข็งแรง และทำงานผ่านอายตนะ เริ่มสะสมเก็บเป็นสัญญา ตัวรู้นั้นอยู่กับความพอใจไม่พอใจ สะสมมา จนตอนนี้มันเปลี่ยนจากรู้มาเป็นเรา เราคือตัวที่เปลี่ยนจากสภาพรู้ จนจะตายก็เราตาย
การปฏิบัติธรรมคือ เดินออกจากความเป็นเรา เข้าไปสู่รู้ เพื่อให้อยู่กับความตั้งมั่น รู้เดิมๆที่เป็นชีวิตอยู่กับความตั้งมั่นเพื่อไม่ให้กระสับกระส่าย จึงเห็นธรรมคือความเป็นจริงปรากฏ ไม่ใช่เรื่องของกระบวนความคิด ความคิดคือขันธ์๕
ความตั้งมั่นที่มีเหมือนกาวอย่างดีให้ตัวรู้
ผู้ที่มีจิตกระสับกระส่ายไปในรูปอันพึงรู้ทางตา ความปราโมทย์(อาการที่จิตไม่ได้ไปเสวยอารมณ์อะไร มันอยู่ข้างในอุ่นๆนิ่งๆเงียบๆสบายๆรู้ตัวอยู่)ก็ไม่มี
เมื่อปราโมทย์หายไป ปีติ(ความอิ่มอกอิ่มใจภูมิใจอันเป็นอารมณ์ภายใน)ก็จะไม่มี
เมื่อปีติหายไป ปัสสัทธิ(ความสงบภายใน)ก็จะหายไป
เมื่อปัสสัทธิไม่มี เขาอยู่เป็นทุกข์
บุคคลที่อยู่เป็นทุกข์ เพราะไม่มีปัสสัทธิ ไม่มีปีติ ไม่มีปราโมทย์ เพราะมันกระสับกระส่าย
จิตของผู้ที่กำลังทุกข์อยู่จะไม่มีความตั้งมั่น
เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ
ความที่แห่งธรรมไม่ปรากฏนั้นเอง ผู้นั้นจึงถึงซึ่งการนับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทเป็นปกติ
จิตกระสับกระส่ายด้วยอำนาจของอวิชชา โมหะ อุปาทิ
ปรากฏอย่างไรจึงเป็นธรรม คือ เห็นตามความเป็นจริง
มีตา รูป การรู้ในรูป การเห็น และความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ อารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น เพราะการเห็นเป็นปัจจัย
ถ้ามีความตั้งมั่นแล้วเห็นตาไม่เที่ยง เห็นรูปไม่เที่ยง เห็นการรู้ในรูปนั้นไม่เที่ยง เห็นการเห็นไม่เที่ยง การเห็นเป็นแค่สภาพธรรมที่ปรากฏ ตัวรู้ที่ตั้งมั่นอยู่ทำให้ตัวรู้เห็น เห็นสภาวะที่ชื่อว่าเห็นปรากฏ ตัวรู้ไม่กระโดดเข้าไปในเห็นนั้น ไม่มีเราเข้าไปอยู่ เข้าไปแทรกแซง
ความรู้สึกที่เกิดจากการเห็น รู้สึกสบาย ไม่สบาย เป็นสุข เป็นทุกข์ เฉยๆ ถ้ารู้อยู่กับความตั้งมั่นไม่มีเราไปแทรกแซง ความรู้สึกก็จะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เกิดขึ้นแล้วก็หายไป ไม่เที่ยง
กงล้อของรู้จะบ่มความตั้งมั่นและองค์ประกอบของความตั้งมั่น รู้จึงมีกำลังที่จะเห็นสิ่งต่างๆที่ปรากฏตามความเป็นจริง
ถ้าตัวรู้ไม่เป็นอิสระ จะเป็นเราขึ้นมา บ่มความตั้งมั่นไม่ได้
ถ้าไม่ใช่ตัวรู้ที่เป็นอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นกายเป็นใจนี้จะไม่มีวันเป็นสติปัฏฐาน และไม่มีวันที่จะเกิดเป็นความตั้งมั่นขึ้นมาสำหรับให้ตัวรู้อยู่ เป็นวิหารของรู้ได้ ไม่สารถที่จะเห็นธรรมได้
ในทางปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติอานาปานสติ ตัวรู้ที่รู้ลมต้องเป็นอิสระ ประกอบไปด้วยสติ สัมปชัญญะ เกิดในฐานของสติ
การดำรงสติอยู่เฉพาะหน้าคืออยู่ในฐานที่ใกล้กับกิจคือลมออกลมเข้า พอลมหายใจเข้าออก ลมกระทบกับกายประสาท ตัวรู้ก็เข้าไปรับรู้ได้ เฝ้ารู้อยู่นิ่งๆตรงนั้น
ที่รู้ได้ว่าเป็นลมเพราะเป็นลมกระทบ ลมกระทบเกิดจากเหตุปัจจัยไม่ใช่เรา รู้ในสิ่งที่ไม่ใช่เราแต่เป็นกาย และรู้นั้นไม่ได้รู้แบบจ้องเพ่งคือไม่ได้ตั้งใจเข้าไปเพื่อทำการรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
รู้อย่างนี้จึงเป็นอิสระ จบไปในขณะจิต
ตัวรู้มีลมเป็นวิหาร แต่เมื่อรู้ต่อเนื่องด้วยอำนาจของความเพียร จะอยู่กับการหายใจแต่มีอุเบกขาความตั้งมั่นเป็นวิหาร เรียก อุเปกขาปริสุทธิ สติบริสุทธิ์ที่มีอุเบกขาเป็นฐาน
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน