customer churn คือ อะไร / churn คือ อะไร นักการตลาดยุคใหม่ ต้องเข้าใจด้วยหรือ? ตามจริงแล้วเรื่องนี้ อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ ซักเท่าไรนัก มันเกิดขึ้นมาในวงการการตลาดนานก่อน โซเชี่ยลมีเดีย หรือ อินเตอร์เน็ตจะถูกคิดค้นซะอีก แล้ว มัน คือ อะไรกันล่ะ??

churn คือ การที่ลูกค้าขาประจำ ลูกค้าเก่าของคุณ สมาชิก (Subscribers) หรือ ผู้ใช้งาน (Users) ที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการของคุณอยู่แล้ว หรือ มีการซื้อ หรือ ใช้บริการของคุณอยู่เป็นประจำ เกิดเปลี่ยนใจหยุดใช้หยุดซื้อ หรือ ยกเลิกบริการกับคุณ ตัดสินใจจบความสัมพันธ์กับคุณลง นี่คือความหมายของ churn 

customer churn คือ สิ่งที่นักการตลาดต้องให้ความสำคัญอย่างมากในยุคดิจิตอลที่อะไรก็ง่ายไปหมดทั้ง การซื้อ การใช้บริการ หรือ การสมัครเป็นสมาชิกอะไรซักอย่าง ทำได้ง่ายแค่ปลายนิ้วผ่านมือถือ แต่ในทางกลับกัน คือ ลูกค้าก็สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนใจไม่ใช้ หนีจากคุณไปได้ง่ายๆ เช่นกัน

คำว่า Churn อ่านว่า เชริน ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า เชิญ ในภาษาไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อลูกค้ากำลังจะเปลี่ยนใจจากคุณ (Customer churn) คุณจะแค่พูดว่า “เชิญ” ไม่ได้ เพราะนั่น เป็นปัจจัยในหลายๆประการว่า การดำเนินกิจการของคุณกำลังมีปัญหา และ คุณไม่ใส่ใจ และ ปล่อยลูกค้าไปเฉยๆ

ในสมัยก่อน ยุคอินเตอร์เน็ต, ออนไลน์ Customer churn จะพูดถึงกันมากในบริบทของการทำการตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้าที่สมัครเป็น เมมเบอร์ หรือ สมาชิก เพื่อรับ สินค้า, นิตยสาร , ใช้บริการ หรือ เข้าสถานที่เฉพาะกลุ่ม กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อดึงให้ลูกค้าอยู่กับธุรกิจและสินค้าของคุณไปได้นานๆ

เมื่อมีเหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้ว ส่งผลให้ลูกค้าเริ่มมีการตัดสินใจจะหยุดใช้บริการหรือหยุดซื้อสินค้าของคุณ เช่น มีคู่แข่งใหม่ในตลาด มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณ เกิดเบื่ออยากลองอะไรใหม่ๆ หรือ อื่นๆ… เป็นหน้าที่ของนักการตลาด ที่จะต้องคิดหาทางเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะลูกค้าเก่า หรือ ลูกค้าประจำ สร้างรายได้หลักให้กับธุรกิจมากกว่า และ การที่ธุรกิจจะต้องหาลูกค้าใหม่จำเป็นต้องมีการลงทุนและมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ ยุคสื่อสาร ในช่วงต้นยุคเริ่มต้นของ ออนไลน์ ผู้ให้บริการสัญญานโทรศัพท์ ค่ายต่างๆ เป็นกลุ่มหลักๆ ที่ทำให้เรื่องของ Churn เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการยกเลิก หรือ เปลี่ยนใจ อาจเป็นภัยคุกคามที่เสี่ยงต่อความล้มเหลวของธุรกิจได้ จึงเกิดหลักการ เทคนิค ทฤษฎี ต่างๆ ขึ้นมากมายเพื่อ ป้องกัน หรือ สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าใช้บริการ ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เช่น เรื่อง churn analysis คือ การวิเคราะห์หาสาเหตุของการที่ลูกค้าตัดสินใจยกเลิกหรือเปลี่ยนใจไปจากคุณ หรือ เรื่องอย่าง churn rate คือ อัตราการยกเลิกหรือ เปลี่ยนใจของลูกค้า เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลประกอบเพื่อใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้ว หรือ เป็นตัวช่วยเพื่อสร้างกิจกรรมทางการตลาดมาจูงใจให้ลูกค้าอยู่ต่อ เท่านั้น

และแล้ว ก็เข้ามาถึง ยุคนี้ ยุคที่มีข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคจำนวนมหาศาล และ ธุรกิจต่างๆ ต่างเก็บข้อมูลเหล่านี้เพื่อหาทางทำให้ Customer Churn หรือ อัตราการยกเลิก Churn rate ต่ำที่สุด เพื่อความเจริญเติบโตของธุรกิจ จึงเกิดเรื่องที่ “ไม่น่าเชื่อ” หลายอย่างขึ้น ในการทำการตลาดออนไลน์ หรือ การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคผ่านข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคเอง เช่น Churn prediction หมายถึง การทำนายพฤติกรรมของลูกค้าล่วงหน้า หากลูกค้ากำลังเริ่มมีความคิดจะยกเลิกหรือหยุดซื้อหยุดใช้สินค้า/บริการของคุณ ฟังดูเหลือเชื่อมาก ว่า การทำนายล่วงหน้าสามารถทำได้จริงๆหรือ

มันจะยังเป็นเรื่องเหลือเชื่ออยู่ ถ้าเทคโนโลยียังไม่สามารถพัฒนามาถึงจุดนี้ จุดที่คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้เองได้ (Machine Learning) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ AI ข้อมูลของพฤติกรรมต่างของลูกค้าหรือคนทั่วๆไปอย่างเราๆ สามารถถูกเก็บไว้ได้อย่างละเอียดทั้งหมด (Big Data) และ เมื่อทั้งสองอย่างถูกนำมาประมวลผลและเรียนรู้ผ่านศาสตร์ Data Science เราจึงสามารถมองเห็นพฤติกรรมที่จะเกิดล่วงหน้าได้อย่างค่อนข้างใกล้เคียงความจริงมาก

ตัวอย่าง การนำข้อมูลเชิงลึก Customer Insight ของลูกค้าที่มีธุรกรรมกับธนาคาร เช่น การที่ลูกค้ามีเงินเข้าในบัญชี หรือ ลูกค้าที่ไม่มีเงินเข้าบัญชีเลย การทำ churn analysis สามารถใช้ในการหาข้อมูลทางการตลาดที่มีประโยชน์อย่างมากสามารถหาสูตรในการคำนวนว่า ถ้าลูกค้าไม่มีเงินเข้าบัญชีเลย เป็นระยะเวลา … เดือน มีความน่าจะเป็นกี่เปอร์เซ็น ที่ลูกค้าจะเลิกการใช้บริการกับธนาคารนั้น ข้อมูลลักษณะนี้ ก่อให้เกิดมูลค่าอย่างมหาศาลให้กับธุรกิจ 

ตัวอย่าง ของการทำ Churn prediction เพื่อดูแนวโน้ม ของการหนี หรือ เลิกใช้บริการ ที่สามารถช่วยให้ธุรกิจ ตรวจจับได้ล่วงหน้า เมื่อลูกค้ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป และ มีแนวโน้มสูงที่กำลังจะยกเลิกการใช้บริการ ช่วยลดความเสี่ยงจากการยกเลิก ดังกล่าวได้ เช่น บริษัทให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ ธุรกิจบัตรเครดิต ประกันภัย บริษัทแอปพลิเคชั่นต่างๆ และ กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น

บริษัทเหล่านี้ จะอาศัยข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data  ตั้งต้น และ ทำการแบ่งกลุ่ม เช่น แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มกำลังจะหนี (เสี่ยง) และ กลุ่มปกติ (ไม่เสี่ยง) แล้วระบุหาสาเหตุปัจจัยในการ หนี ให้ได้ เช่น ประวัติยอดใช้งาน ระยะเวลาที่ค้างชำระ ระยะเวลานับจากการใช้งานครั้งล่าสุด ในบางครั้งต้องมีการระบุความหมายของการจะ หนี ด้วย เช่น ลูกค้าเกมออนไลน์ที่หยุดเล่นนานๆ เกินกว่า 2 สัปดาห์ เป็นต้น

จากการทำนาย การวิเคราะห์ Customer Churn และ ได้ข้อมูลหรือรู้สาเหตุต่างๆมาเรียบร้อยแล้วก็ถึงหน้าที่ของนักการตลาดที่จะต้องนำข้อมูลอันมีค่าเหล่านั้นมาทำการออกแคมเปญจ์ หรือ สื่อสารทางการตลาด เพื่อใครลูกค้าตัดสินใจอยู่ต่อ ไม่เปลี่ยนใจไปไหน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน และเห็นกันได้มากที่สุดคือในธุรกิจผู้ให้บริการสัญญานโทรศัพท์

เช่น การให้บริการ แบบ Bundling หรือ ที่เรียกว่า สามประสาน กล่าวคือ มีการรวม อินเตอร์เน็ต, โทรศัพท์ และ ทีวีออนไลน์ มาในแพ็คเกจเดียวกัน หรือ สี่ประสาน  คือ อินเตอร์เน็ต, โทรศัพท์, ทีวีออนไลน์  และ แถมเครื่องโทรศัพท์หรือขายให้ในราคาถูกกว่าที่อื่น รวมมาพร้อมกันหมด ในแพ็คเกจเดียว

ในปัจจุบัน มีเพิ่มมาอีกรูปแบบ ที่เรียกว่า Multi-Play คือ เพิ่ม ฟรี WiFi Internet นอกสถานที่ และ บริการเสริม สิทธิพิเศษต่างๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะลด Customer Churn ให้ลูกค้ายังจงรักภักดี และต้องใช้บริการอยู่กับธุรกิจของตนไปนานๆ จึงทำให้เห็นว่าบางทีค่าบริการรายเดือนจะมีการติดสัญญากันเป็นปีๆนั่นเอง

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องราวของ Customer churn ด้วยการคอมเม้นไว้ด้านล่างนี้ หรือ ง่ายๆ แค่ทักไลน์มาที่ Line ID : @brandingchamp

The post customer churn คือ อะไร | churn คือ อะไร นักการตลาดยุคใหม่ต้องเข้าใจด้วยหรือ? appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

Brand Awareness แทบจะเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ของธุรกิจยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ แม้กระทั้งระดับบุคคล องค์กร หรือ ระดับประเทศ และด้วยการตลาดสมัยใหม่ เราสามารถที่จะสร้าง Brand Awareness ได้ในหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อธุรกิจและสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้แบบยั่งยืน

ความหมายของ Brand Awareness คือ การรับรู้ในของแบรนด์ธุรกิจ (สินค้าหรือบริการ) ของคุณ ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยมีระดับ ตั้งแต่ ไม่รู้จัก (no awareness), รู้จัก (recognize), รู้จำ (recall) และ รู้ใจ (top of mind) โดยปัจจุบันการรับรู้แบรนด์สามารถสร้างขึ้นได้ อย่างมีกลยุทธ์ ผ่านการตลาดสมัยใหม่ โดยหวังผลเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและแบรนด์ในระยะยาวได้

ถ้าลองหันมองรอบตัวคุณในตอนนี้ คุณก็จะพบว่า มีทั้ง สินค้า บริการ ผู้คน ธุรกิจ หรือ องค์กร มากมายรอบตัว แต่…จะมีสักกี่แบรนด์ ที่เมื่อคุณหลับตาลงแล้วจะสามารถจำได้ว่า สิ่งนั้นคือแบรนด์อะไร? นี่อาจเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆที่ Brand Awareness ต้องเข้ามาเพื่อช่วยสร้างการรับรู้ รู้จัก รู้จำ จนเมื่อหลับตาลงแล้วแบรนด์นั้นจะปรากฎขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ 

ปัจจุบัน การมีสินค้า การนำเสนอบริการ หรือ การเปิดตัวธุรกิจ สักอย่างนึง อาจไม่ใช่เรื่องยากมากมายนัก เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาจนถึงจุดที่เรียกได้ว่า อยากมีผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง มีไอเดียดีๆ ก็สามารถใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดเป็นรูปเป็นร่างออกมาให้จับต้องได้ในเวลาไม่นาน ยิ่งเป็นช่วงที่ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว ยิ่งทำให้เกิด สินค้า บริการ ต่างๆขึ้นมามากมายอย่างรวดเร็วในทุกๆวัน ในตลาดจึงมีสิ่งต่างๆคล้ายๆกัน หรือ แทบจะเหมือนกันและสามารถใช้แทนกันได้ แล้ว…คุณจะการันตีได้อย่างในว่า ธุรกิจ สินค้าหรือบริการ ของคุณจะเป็นที่รู้จัก และ ถูกจดจำได้ในกลุ่มลูกค้าของคุณจริงๆ

พฤติกรรมของคนทั่วไป ทั้ง เราๆท่านๆ ในฐานะผู้บริโภคในปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สื่อดิจิทัล กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อผู้บริโภคเปลี่ยน การตลาดก็ไม่สามารถจะหยุดนิ่งหรือทำในรูปแบบเดิมๆได้อีกต่อไป สินค้าหรือบริการจะเป็นที่รับรู้ได้จำเป็นต้องใช้การตลาดสมัยใหม่เข้ามาเป็นเครื่องมือ

การตลาดสมัยใหม่ คือ การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วย เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างแม่นยำ โดนใจ สอดคล้องและตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมาย 

เมื่อผู้บริโภคใช้เทคโนโลยี และ สื่อสังคมออนไลน์ เป็นวิถีชีวิต ความสนใจเกือบทั้งหมดของผู้บริโภคหนึ่งคน แทบจะถูกครองด้วยสื่อดิจิทัลและโซเชี่ยลมีเดียไปอย่างสิ้นเชิง ความสนใจในเรื่องต่างๆ ข่าว ข้อมูล ความรู้ ความบันเทิง รวมทั้งสินค้าและบริการ แทบทุกสิ่ง มีพร้อมให้ผู้บริโภคได้พบเจอในโลกออนไลน์ นั่นทำให้การตลาดสมัยใหม่ จำต้องเข้ามาเพื่อแย่งชิงความสนใจนั้น เพื่อจะทำให้ผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าเป้าหมายได้ตัดสินเลือกแบรนด์ของคุณเมื่อจำเป็นต้องเลือกซื้อหรือเลือกใช้อะไรสักอย่างหนึ่ง

สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปของการตลาดสมัยใหม่ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดียทำการตลาด เช่น facebook, Instagram, TikTok, LINE, X และ อื่นๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้จริงและตรงกลุ่มเพียงพอที่จะโน้มน้าวให้เกิดการการตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก เช่น การสร้างกลุ่มผู้คนที่มีความชอบเหมือนๆกัน หรือ แม้กระทั้งการทำโฆษณาเพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำได้ผ่านโลกโซเชียลได้ไม่ยากเลย และ ด้วยวิธีนี้มันก็ยังช่วยในการสร้าง Brand Awareness ได้ด้วย

การใช้ผู้ทรงอิทธพลในโลกออนไลน์เพื่อใช้ช่วยทำการตลาด หรือ Influencer Marketing เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่หากมีการวางกลยุทธ์มาเป็นอย่างดี วิธีนี้เปรียบเสมือนทางลัดเข้าสู่ใจผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด เนื่องจาก คนดัง หรือ Influencer เหล่านี้ มีตัวตนหรือมีการสร้างแบรนด์บุคคลมาแล้ว จนมีฐานแฟนที่พร้อมรับรู้ พร้อมที่จะเทความสนใจไปในทุกเรื่องที่ อินฟลูฯ นั้นๆ นำเสนอออกมา นี่จึงทำให้ แบรนด์สามารถใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้เป็นทางลัดเข้าสู่ใจผู้บริโภคได้ในทันที และ ทำให้เกิด Brand Awareness ได้ในทันที เช่นกัน

อีกหนึ่งรูปแบบที่เป็นที่นิยมของ การทำการตลาดสมัยใหม่ นั่นคือ Content Marketing ซึ่งสามารถเสนอออกมาได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น รูปภาพ วิดีโอ บทความ เกม กิจกรรม ชาแลนจ์ … รวมถึง สามารถสื่อสารออกมาในหลากหลายอารมณ์ เช่น ตลกเฮฮา เศร้า ดราม่า น่าสงสาร น่ากลัว น่าสงสัย … ด้วย การทำการตลาดผ่านคอนเทนต์ลักษณะนี้ จึงเปิดโอกาสให้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และ ไอเดียต่างๆได้ถูกนำเสนอออกมาเพื่อมุ่งหวังประโยชน์ต่อธุรกิจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ ความพยายามสร้างคอนเทนต์ที่เป็นกระแสอย่างเดียว เพียงแค่ต้องการแสง หรือ พื้นที่สื่อ ให้แบรนด์ตนเองได้ถูกรับรู้ ตัวอย่างที่น่าจะเห็นภาพมากที่สุด เช่น ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มักมีการสร้างเหตุการณ์ที่สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้พบเห็นจนเกิดเป็นกระแสดราม่า เช่น ให้ปริมาณน้อยผิดปกติ ราคาแพงมากเกินไป หรือ ลูกค้าได้รับการบริการที่ไม่พึงประสงค์ จนเกิดเหตุการณ์ตอบโต้กันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าจนลุกลามใหญ่โตเป็นดราม่าในที่สุด ทั้งหมดนี้ไม่ว่าเหตุการณ์จะจบลงในด้านบวกหรือด้านลบ แต่ Brand Awareness หรือ แบรนด์นั้นได้ถูกรับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว

ในความเป็นจริงการสร้างความรับรู้ของแบรนด์ หรือ brand awareness ควรมุ่งหวังต่อผลลัพธ์ด้านบวกหรือเป็นที่รู้จักในด้านที่ดี เพื่อทำให้แบรนด์สามารถยืนระยะ และ อยู่ในตลาดอย่างยั่งยืน นี่เป็นประโยชน์บางส่วนที่ได้จาก brand awareness

กรณีศึกษา ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่อยากจะลองทดสอบว่า สินค้าและบริการของตน มีระดับความสำเร็จในการสร้าง Brand Awareness ขนาดไหนแล้วในขณะนี้ สามารถทดสอบอย่างง่ายๆไปพร้อมๆกัน ผ่านเครื่องมืออย่าง Google ด้วยการพิมพ์คำที่คิดว่าลูกค้าจะใช้ในการค้นหา ธุรกิจ สินค้าหรือบริการของคุณ (โดยไม่ระบุชื่อแบรนด์) และ หากมีการแนะนำ คำค้นที่เกี่ยวข้อง โดยมีชื่อแบรนด์ของคุณปรากฎขึ้น นั้นสามารถอ้างได้ระดับหนึ่งแล้วว่า แบรนด์คุณเป็นที่รับรู้ในโลกออนไลน์แล้วระดับหนึ่งเลย

ตัวอย่าง การทดสอบการรับรู้แบรนด์สินค้า “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”

1. การกำหนดเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย

จากตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ ที่นำเสนอไปนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นสร้าง Brand Awareness และ เป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้เลย นั่นคือ ความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพราะ หากคุณสามารถสร้างความรู้จัก (Recognize) ให้กับแบรนด์ของคุณ จนลูกค้าสามารถรู้จำ (Recall) ได้ว่าเป็นแบรนด์ไหน คุณจะไม่สามารถเป็นแบรนด์ที่หนึ่งในใจลูกค้าได้เลย (Top of Mind) หากคุณไม่มีความเข้าใจต่อลูกค้าจริงๆ

คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ หัวข้อ ” การสร้าง Brand Awareness ด้วย การตลาดสมัยใหม่ ” ด้วยการคอมเม้นต์ด้านล่างนี้ หรือทักไลน์มาพูดคุยกับ อาจารย์แชมป์ ธิติพล เทียมจันทร์ ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ ได้ที่ @brandingchamp

The post การสร้าง Brand Awareness ด้วย การตลาดสมัยใหม่ appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

ตลาด fmcg สืบเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดนี้ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ ว่า fmcg คือ อะไร fmcg หมายถึง อะไร ในเชิงกลยุทธ์ fmcg ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค บ้าง จะได้เป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้และปรับปรุงกันต่อไป

fmcg คือ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในทุกรูปแบบ ที่มีการจำหน่าย เกิดการซื้อ/ขายขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และ มีราคาที่ไม่สูงมาก โดย ส่วนมากจะเป็นสินค้าที่มีลักษณะ ไม่ใช่สินค้าคงทน ตัวอย่าง เช่น  อาหาร เครื่องดื่ม กระดาษชำระ ยาสามัญประจำบ้าน สินค้าในรูปแบบ เอฟเอ็มซีจี FMCG จะมีลักษณะ shelf life ค่อนข้างต่ำ หรือ ความหมาย คือ สินค้าจะถูกเลือกซื้อไปจากชั้นวางในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ มีความต้องการในตลาดที่ค่อนข้างสูง

สินค้า ที่เราสามารถพบเห็นได้ใน ห้างสรรพสินค้า หรือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่เป็น FMCG อย่างได้ชัดเจน คือ จำพวกอาหารสด เนื้อ สัตว์ ผลไม้ ผัก หรือ ผลิตภัณฑ์สดใหม่รายวัน เครื่องดื่มต่างๆ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม น้ำดื่ม

ยอดขายของสินค้าแบบ FMCG โดยมากจะสามารถมีปริมาณมหาศาลได้ในช่วงเทศกาลวันหยุดหรือฤดูกาลต่างๆที่เป็นเหตุการณ์พิเศษรวมทั้งกิจกรรมการลดราคาลดแลกแจกแถมหรือซื้อดูการลดกระหน่ำเพื่อเอาใจลูกค้า

ในทาง การตลาดสินค้า fmcg หรือ Fast-Moving Consumer Goods สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่ง คือ Consumer Packaged Goods หรือ CPG ใช้ในความหมายเดียวกันโดย ซีพีจี cpg คือ สินค้าที่พร้อมอุปโภคบริโภคทันทีในความหมายที่คล้ายกัน

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา การซื้อ/ขายผ่านช่องทางออนไลน์ คึกคักและมีการแข่งขันสูงมากๆ ตั้งแต่ แคมเปญจ์ 9 เดือน 9 , 10/10 ไล่เรื่อยมาจนถึง แคมเปญจ์ 12.12 ที่พึ่งผ่านพ้นไป เพราะ มีผู้เล่นรายใหญ่ที่มีงบการตลาดสูง เข้ามาบุกตลาดออนไลน์ในประเทศไทยมากขึ้น เรียกว่า เปรียบเสมือนเป็น สงครามการค้าขายออนไลน์ เลยก็ว่าได้ 

สินค้าที่มีการ “ลดราคา” ลงไปมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ

1. เสื้อผ้า/แฟชั่น มีการ ลดราคา ลงเฉลี่ย 49%

2. สินค้าเกี่ยวกับกีฬา และ อุปกรณ์ท่องเที่ยว มีการ ลดราคา ลงเฉลี่ย 48%

3. ของตกแต่งบ้าน มีการ ลดราคา ลงเฉลี่ย 47%

และ ที่มีนัยสำคัญให้ นักการตลาด ต้องไปทำการบ้านกันต่อ คือ สินค้าใน ตลาด FMCG ไทย ถูกลดราคา ลงไปมากถึง 30% จากที่เราเรียนรู้ความหมายของ fmcg ว่าคืออะไรไปแล้วนั้น ทำให้คิดได้ง่ายๆว่า การลดราคาของสินค้าที่มีราคาค่อนข้างถูกอยู่แล้ว ลงไปอีกถึง 30% ถือว่าหนักเอาการ

ในมุมมองของ ผู้ซื้อ ผู้บริโภค มีปัจจัยบางประการที่สำคัญที่ทำให้ ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อ สินค้า fmcg ผ่าน ช่องทางออนไลน์

ตัวอย่าง เช่น  ถ้า ราคาสินค้าในซุปเปอร์ เท่ากับ ราคาสินค้าออนไลน์ ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบขึ้นในใจ ในลักษณะนี้

1. สะดวกกว่าหรือไม่? ที่จะสั่งซื้อออนไลน์ เพราะในบางกรณีการสั่งซื้อในเชิงอีคอมเมิร์ซไม่ได้เกิดขึ้นกับกลุ่ม Mass ทุกเพศทุกวัย แต่ถ้าการสั่งซื้อออนไลน์สะดวก กว่ามาก แถมส่งของได้ถึงหน้าบ้าน ก็เป็นปัจจัยสำคัญ 

2. การออกไปซื้อเอง กับ ค่าขนส่ง ในปัจจัยนี้ ถ้าเฉลี่ยแล้วพอๆกัน จะให้น้ำหนักไปทางสั่งซื้อออนไลน์แล้วให้มาส่ง จะสะดวกกว่า

3. ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด กรณีที่ต้องซื้อของหลายๆ จากหลายๆร้านค้าออนไลน์ พอรวมค่าส่งแล้ว อาจจะเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซื้อเองพอๆ กับ ค่าส่ง ดังนั้น จะมีปัจจัยเรื่อง “ระยะเวลา” ในการ “รอ” รับสินค้า เข้ามาเป็นปัจจัยให้คิดต่อ

จะเลือกซื้อสินค้า fmcg จากช่องทางไหน ใน 2 ช่องทางนี้ ผู้บริโภค มักจะให้หลักการคิดเชิงเปรียบเทียบ ระหว่าง ค่าใช้จ่ายรวม กับ ความสะดวกสบาย ที่เขาจะได้รับ 

จะเห็นได้ว่า ” ราคา ” ก็ไม่ใช่ ประเด็นหลัก ประเด็นเดียว ของ การตัดสินใจซื้อ เพราะ ยังมี ธรรมชาติบางประการของแต่ละ ช่องทาง ที่สามารถแข่งขันกันได้อยู่ นักการตลาด มีหน้าที่ ทำการบ้านเพื่อนำ จุดเด่น จุดด้อย การใช้แต่ละช่องทางนั้นๆ เพื่อจัดทำแคมเปญจ์ให้เหมาะสม ไม่ใช่แค่เรื่อง การลดราคา อย่างเดียว

เรื่องของการลดราคา ในช่องทางออนไลน์ ลงถึง 30% จำเป็นจะต้องคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย เพราะ มีปัจจัยเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิดและดูกันในระยะยาว

สิ่งที่ควร คิด ต่อมาคือ ROI หรือ Return Of Investment ผลลัพธ์จากการลงทุน ลดกระหน่ำของ สินค้า fmcg ใน ครั้งนี้ว่า ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

1. จดคุ้มทุน ของ การลดราคา

2. สิ่งที่ลูกค้าหรือผู้บริโภคได้รับ จากการลดราคาครั้งนี้

3. ถ้ามีการลดราคา 30% เท่ากันนี้ในช่องทางปกติ จะดีได้ผลอย่างไร

นี่ คือ ส่วนหนึ่งของมุมมองในเรื่องของการลดราคาสินค้าใน ตลาด fmcg ไทย ในช่วงที่ผ่านมา ก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิดให้มุมมองกับท่านผู้บริหาร ถึงผลกิจกรรมการตลาดออนไลน์ ที่เป็นกระแสอยู่ในบ้านเราขณะนี้ และรอดูผลกันต่อไป

สนใจพูดคุย หรือ ปรึกษาเรื่องการตลาด ง่ายๆแค่ทักไลน์ มาได้ที่ LineID: @brandingchamp <<คลิ๊กเลย

The post ตลาด fmcg พร้อม กลยุทธ์ fmcg ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ล่าสุด appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

คิดบวก หรือ Positivity กับ มองโลกในแง่ดี หรือ Optimistic มีความแตกต่างกันอย่างไร ? Podcasts Brandingchamp EP. แรก ของ การตลาดจากบ้าน หรือว่า Marketing from home #MFH

เรื่องแรกที่เราจะมาชวนคุยวันนี้ พอดีมีโอกาสได้ชมคลิป คลิปนึง เรียกว่าเป็น Expert หรือ กูรู ผู้ทรงอิทธิพลคนนึงในเรื่องของ การตลาดออนไลน์ ที่ของประเทศสหรัฐอเมริกา คนนี้เป็นตัวท๊อปเลยของโลก เรื่อง Digital Marketing เป็นชาวยิว แต่อพยพไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเนี่ยว่าเป็นตัวท๊อปหรือว่าเป็นเทพด้านการตลาดออนไลน์ ที่คนเขายกย่องกัน พอดีมีโอกาสได้ฟังคลิป คลิปนึงที่ Gary Vee พูดกับน้องๆนะ อายุประมาณ 20 ปี เขามาร้องห่มร้องไห้แล้วก็คุยกับแกรี่ เพื่อขอคำแนะนำหรือปรับทุกข์ แกรี่ก็ได้ให้คำแนะนำในเรื่องของการใช้ชีวิตว่า

แม้ว่า ตัวน้องคนนี้น้องผู้หญิงคนนี้ว่าจะมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเกี่ยวกับครอบครัว หรือแม้กระทั่งเนี่ยเขาก็เป็นเด็กที่อพยพซึ่งอพยพมาอยู่ประเทศอเมริกาเหมือนกัน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แถมยังมีเรื่องของสุขภาพด้วย แกรี่แนะนำเรื่องของแนวคิด วิธีการคิดยังไง ถึงจะผ่านพ้นวิกฤตหรือเรื่องราวแบบนี้ได้

แล้วก็อีกคลิปนึง เกี่ยวเนื่องต่อเนื่องกัน เป็นคลิปของ นักพูด นักคิด นักเขียนที่สร้างแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก ในวงการการตลาด ก็จะมีพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เพราะว่าเขาเป็นกูรูเรื่องของการทำธุรกิจด้วย เขาเขียนหนังสือที่ค่อนข้างดังมากเลย ชื่อ Start with Why แล้วก็อีกเล่มหนึ่งอาจจะไม่ดังเท่าเล่มแรก Leaders Eat Last คนนี้คือ Simon Sinek

ไซม่อนเล่าให้ฟังนิดนึงว่าเขาคุยอะไรกันบ้างนะ คือน้องคนนี้เขามาขอคำปรึกษาว่าเนี่ย เขาเป็นเด็กที่อพยพมากับครอบครัว มีปัญหาหลากหลายเลย แล้วก็มีเรื่องการเตรียมจะหางานทำ เขาก็ยังสู้ชีวิต รวมถึงตัวเองก็มีปัญหาด้านสุขภาพ ต้องใช้ยา แกรี่แนะนำว่าคุณยังเด็กอยู่เลย คุณต้องใช้ความเป็นเด็กของคุณให้เป็นประโยชน์ น้องคนนี้ก็เล่าและร้องต่อไปว่า ทุกอย่างมันดูเลวร้ายดูยากไปหมดเลยสำหรับเขา

แกรี่ก็พูดว่า ฟังนะ คือ มีโอกาสอยู่แล้วล่ะที่ชีวิตมันจะเจอเรื่องเลวร้ายบ้าง ยังเด็กอยู่ อายุยังน้อยอยู่เลย ต่อให้มันเลวร้ายไป 3 ปี 4 ปี 6 ปียาวไป มันก็แค่ส่วนเล็กๆในชีวิตเท่านั้นเอง ต่อให้คุณใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมด 6 ปีรวด ผ่านมาคุณก็ยังเรียกตัวเองได้ว่าคุณยังเด็ก แกรี่พยายามอยากจะบอกว่าอยากให้น้องคนนี้คิด ให้หาเรื่องบวกๆ คิดแง่บวก ถ้ากลัวเจอเรื่องลบๆ กลับบ้านปิดประตูอยู่ในห้อง ฟังแต่เรื่องราวดีๆ ที่มันเป็น Positive ฟังคำพูดดีๆให้แรงบันดาลใจ แบบนี้พอ มันจะช่วยยกระดับ ช่วยยกคุณภาพชีวิต ก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

แล้วก็เขาก็ให้กำลังใจกับน้องคนนี้ว่า ยังไงก็แล้วแต่ถ้ามองมองเห็นในมุมที่บอกว่า ตัวเขายังเด็กยังมีโอกาสอีกเยอะในชีวิต ก็จะทำให้น้องเนี่ยค่อยๆก้าวไปทีละสเต็ปได้ อันนี้ก็เป็นมุมมองหนึ่งที่ สุดยอดนักการตลาดดิจิทัล ให้แรงบันดาลใจกับเด็กที่กำลังประสบปัญหาในชีวิตอยู่

ต่อมาเป็นมุมมองด้านนึง เกี่ยวพันกัน เรื่อง การมองโลกในแง่ดี บางคนอาจจะบอกว่า ในช่วงนี้คือ มันไม่มีอะไรเหลือให้มองโลกในแง่ดี ในแง่บวก อย่ามาโลกสวยมากเลย อะไรแบบนี้ ก็มีอีกคำแนะนำ Simon Sinek ไซม่อนเป็นนักพูดนักเขียนสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก เจ้าของหนังสือที่โด่งดังมาก ในบ้านเราก็ค่อนข้างได้รับความนิยม ชื่อหนังสือ start with Why ออกมาพูดว่า การมองโลกในแง่ดี กับ การคิดบวก บางทีมันจะมีเส้นบางๆต่างกันนิดนึง

ไซม่อน บอกว่า คำว่า Optimisim กับคำว่า Positivitiy มันต่างกัน มันมีเส้นต่างกัน คือ ถ้าเป็น Optimism คือ การมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่ที่จะมองข้ามในสถานการณ์ปัจจุบันไป หรือว่า ไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ว่า เราเชื่อมั่น ว่าจะมีสิ่งดีๆ หรือ เรื่องราวดีๆที่เป็นบวกเกิดขึ้นในอนาคตแน่นอน ศรัทธาและเชื่อมั่นในเรื่องราวของอนาคตว่ามันจะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้น

ส่วน Positivity คือ คิดบวก ไซม่อนได้ให้คำนิยามว่าประมาณว่า เราพยายามจะเปลี่ยนมุมมองจากเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมองให้มันดีไปทั้งหมด เขาใช้คำว่า Denial ก็คือ เหมือนกับไม่สนใจเลย เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน แล้วบอกว่าเนี่ยอันนี้ดี แม้มันจะไม่ดีก็ตามก็บอกว่ามันดี อันนี้เป็นมุมมองนึง

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมองโลกในแง่ดี และ คิดบวก เราสามารถมองให้เป็นแง่ดีๆได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาหลากหลายอย่าง ให้คิดว่ามันจะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่นอน หลังจากนี้ แม้ว่าปัจจุบันมันอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นสถานการณ์ที่มืดดำ แต่รับรองว่ามันจะต้อง แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แน่นอน

คุณสามารถรับฟังได้ทาง BrandingChamp Podcasts หรือ ติดตามเนื้อหาได้จากช่องยูทูป ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ Branding Champ และ สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ ” คิดบวก (Positivity) กับ มองโลกในแง่ดี (Optimistic) แตกต่างกันยังไง? ” ได้ง่ายๆ ด้วยการคอมเม้นต์ไว้ด้านล่างนี้ หรือ ทักมาพูดคุยกับผม อาจารย์แชมป์ ธิติพล เทียมจันทร์ ได้โดยตรงที่ ไลน์ไอดี @brandingchamp

The post คิดบวก (Positivity) กับ มองโลกในแง่ดี (Optimistic) แตกต่างกันยังไง? appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

ภาษาอังกฤษธุรกิจ คือ ส่วนหนึ่งของการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์แบบเฉพาะทาง ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าเป็นภาษาอังกฤษเฉพาะทาง ทั้งการเรียนและการสอนภาษาอังกฤษในระดับนานาชาติเป็นที่นิยม ผู้คนจำนวนมากไม่ได้มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือภาษาแรกของตน ดังนั้นการเรียนวิชานี้โดยมีวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจกับประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ หรือ ใช้ในการทำงานร่วมกับบริษัทต่างประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ดีทั่วโลกยังคงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางหรือภาษาที่ใช้ร่วมกัน

การสื่อสารภาษาอังกฤษในธุรกิจทั่วโลกส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นระหว่างผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ในกรณีนี้ เป้าหมายของการฝึกอบรมหรือเรียนรู้ คือ การสื่อสารภาษาอังกฤษธุรกิจเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตัวอย่างเช่น บางครั้งกฎไวยากรณ์ที่เข้มงวดจะถูกมองข้ามไปเมื่อเป้าหมายเดียวของผู้เจรจาต่อรองธุรกิจ คือ การบรรลุข้อตกลงโดยเร็วที่สุด

ภาษาอังกฤษธุรกิจ มีความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละบริบท และ ความต้องการของแต่ละองค์กร สำหรับบางธุรกิจจะเน้นที่คำศัพท์และหัวข้อที่ใช้เฉพาะในสาขาธุรกิจ การค้า การเงิน หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การใช้ภาษาอังกฤษธุรกิจในกรณีอื่นๆ หมายถึง ทักษะการสื่อสารที่ใช้ในสถานที่ทำงาน โดยเน้นภาษาและทักษะที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารทางธุรกิจทั่วๆไป เช่น การพรีเซนต์งาน, การนําเสนอ และ บทสนทนาขายของ การเจรจาต่อรอง การประชุม การพูดคุยเล็กๆน้อยๆ การเข้าสังคม การติดต่อสื่อสาร การเขียนรายงาน

ในทั้งสองรูปแบบข้างต้นนี้ สามารถจัดให้มีการเรียนการสอนให้กับผู้ที่ต้องการได้ เช่น นักศึกษาจบใหม่ที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดงาน การเรียนธุรกิจในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย การเรียนต่อต่างประเทศ เซลส์หรือพนักงานขายที่ต้องสื่อสารกับชาวต่างชาติ พนักงานในบริษัทที่สื่อสารกันภายในด้วยภาษาอังกฤษ ผู้ประกอบการที่ต้องมีการพรีเซนต์งานหรือนําเสนอสินค้าต่อชาวต่างชาติ และอื่นๆ

นอกจากนี้ การใช้ภาษาอังกฤษธุรกิจได้ดี สามารถเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพได้หล่ากหลาย เช่น พนักงานประชาสัมพันธ์ พนักงานต้อนรับ เลขานุการ พนักงานสายการบิน พนักงานธนาคาร พนักงานแปล พนักงานนำเที่ยว พนักงานโรงแรม พนักงานนำเข้าส่งออก พนักงานด้านต่างประเทศ พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ พนักงานขาย พนักงานการตลาด พนักงานบริหารทั่วไปในองค์กรภาครัฐและเอกชน พนักงานฝึกอบรมและพัฒนาทั้งภาครัฐและเอกชน พนักงานสรรหาและคัดเลือกบุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจทุกรูปแบบ

ทำให้ได้อาชีพที่ดีและมีความก้าวหน้าในวิชาชีพ

2. ภาครัฐ/ หน่วยงานราชการ ทั้งในและต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูต สถานกงศุลประจำประเทศต่าง ๆ สถานศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ท่าอากาศยาน เป็นต้น เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เลขานุการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายวีซ่า เจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง อาจารย์ /ครูสอนภาษา

3. เจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว เช่น โรงเรียนสอนภาษา ธุรกิจนำเข้าและส่งออก รีสอร์ท โรงแรม ร้านอาหาร ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นต้น

เมื่อมีความเข้าใจ ความรู้ความสามารถ และ ทักษะที่พร้อมใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและการดำเนินงานทางธุรกิจ ก็จะสามารถประยุกต์ใช้ภาษาอังกฤษในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจในปัจจุบัน รวมทั้งสามารถเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ และนำความรู้เล่านั้นไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาองค์กรและสังคม

Gemini Google

Good morning/afternoon/evening, I’m (your name) from (resort name). We are committed to providing excellent service to all our guests.

สวัสดีค่ะ/ครับ ดิฉัน/ผม (ชื่อ) จาก (ชื่อรีสอร์ท) เรามุ่งมั่นให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่แขกทุกท่าน

ChatGPT

Ladies and gentlemen, thank you for giving me the opportunity to present one of our most popular export products: the Elephant Pattern Pants. These pants are not only a symbol of traditional craftsmanship but also a representation of our cultural heritage. Crafted with care and precision, they combine comfort, style, and sustainability, making them a favorite among customers worldwide.

ท่านผู้หญิงและผู้ชายที่เคารพ, ขอบคุณที่ให้โอกาสฉันได้นำเสนอหนึ่งในสินค้าส่งออกยอดนิยมของเรา: กางเกงลายช้าง กางเกงเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของฝีมือแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึงมรดกทางวัฒนธรรมของเราด้วย ถูกสร้างสรรค์ด้วยความใส่ใจและความแม่นยำ, พวกมันรวมความสบาย, สไตล์, และความยั่งยืนเข้าด้วยกัน, ทำให้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทั่วโลก

Our Elephant Pattern Pants are made from high-quality, eco-friendly materials. They are designed to cater to a wide range of preferences, ensuring that there’s something for everyone. Whether it’s for casual wear, special occasions, or as a unique gift, these pants are versatile and meaningful.

กางเกงลายช้างของเราทำมาจากวัสดุคุณภาพสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พวกมันถูกออกแบบเพื่อตอบสนองต่อความชอบที่หลากหลาย, รับประกันว่ามีบางอย่างสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการใส่ประจำวัน, โอกาสพิเศษ, หรือเป็นของขวัญที่ไม่เหมือนใคร, กางเกงเหล่านี้มีความหลากหลายและมีความหมาย

In conclusion, our Elephant Pattern Pants not only serve as a bridge connecting traditional values with modern fashion trends but also promote the importance of sustainability and ethical manufacturing practices. We are proud to offer a product that reflects our commitment to quality, culture, and the environment.

สรุปแล้ว, กางเกงลายช้างของเราไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงค่านิยมแบบดั้งเดิมกับแนวโน้มแฟชั่นสมัยใหม่เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความสำคัญของความยั่งยืนและการผลิตที่มีจริยธรรม พวกเราภูมิใจที่ได้เสนอผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราต่อคุณภาพ, วัฒนธรรม, และสิ่งแวดล้อม

เฮียตง AI ( https://sites.google.com/view/heretongchatgpt )

1. Bargain – เจรจาต่อรอง

จากเรื่องราวที่คุณได้อ่านมาจนถึงจุดนี้จะเห็นได้ว่า Gen-AI มีบทบาทในการเป็นตัวช่วยในธุรกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ในฐานะ วิทยากร อาจารย์แชมป์ ธิติพล เทียมจันทร์ มีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเป็นหลักสูตรที่น่าสนใจมาแนะนำ หลักสูตร ภาษาอังกฤษที่จำเป็นสำหรับธุรกิจการค้า หากสนใจหรือต้องการร่วมแสดงความคิดเห็นกับบทความ ” ภาษาอังกฤษธุรกิจ ทั้ง การพรีเซนต์งาน, การนําเสนอ และ บทสนทนาขายของ ง่ายขึ้นทันทีเมื่อใช้ Gen-AI ” ด้วยการคอมเม้นต์ด้านล่างนี้หรือทักไลน์มาคุยกันได้ที่ @brandingchamp

The post ภาษาอังกฤษธุรกิจ ทั้ง การพรีเซนต์งาน, การนําเสนอ และ บทสนทนาขายของ ง่ายขึ้นทันทีเมื่อใช้ Gen-AI appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

จ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้าและบริการ กลายเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย ที่ต้องการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ และ กระตุ้นยอดขาย ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในตลาดออนไลน์ การเลือกจ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิวที่เหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ SME สามารถใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์นี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนโลกออนไลน์

SME ไทย มีโอกาสที่จะเติบโตได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับตัวและนำกลยุทธ์การ จ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว มาใช้อย่างเหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดงบโฆษณาแล้ว ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถสร้างการมีส่วนร่วมและความผูกพันกับแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยพลังของเนื้อหาที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือจากอินฟลูเอนเซอร์ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ การจ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ SME ไทยควรให้ความสนใจ เพื่อปูทางสู่ความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ในยุคดิจิทัล

ก่อนที่จะทำความเข้าใจว่า ทำไมการจ้างอินฟลูเอนเซอร์มารีวิว ถึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับ SME ไทย เรามาทำความรู้จักกับคำว่า “อินฟลูเอนเซอร์” กันก่อน

อินฟลูเอนเซอร์ คือ บุคคลที่มีอิทธิพลและมีผู้ติดตามจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถสร้างการรับรู้ กระตุ้นความสนใจ และโน้มน้าวใจผู้บริโภคได้ด้วยเนื้อหาที่สร้างสรรค์และน่าเชื่อถือ อินฟลูเอนเซอร์มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ Mega Influencer ที่มีผู้ติดตามนับล้าน ไปจนถึง Nano Influencer ที่มีผู้ติดตามเพียงหลักพัน แต่มีอิทธิพลสูงในกลุ่มเฉพาะ

เมื่อเข้าใจความหมายของอินฟลูเอนเซอร์แล้ว ลองมาดูกันว่า ทำไมการจ้างอินฟลูเอนเซอร์มารีวิว ถึงสำคัญนัก

1. รีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน

เนื่องจากอินฟลูเอนเซอร์มักจะมีความน่าเชื่อถือและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ติดตาม เมื่ออินฟลูเอนเซอร์แนะนำหรือรีวิวสินค้าหรือบริการในเชิงบวก ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

2. SME ไทยสามารถได้รับประโยชน์หลายด้านจากการทำแคมเปญร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์

ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และ ความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ผ่านเนื้อหาที่มีคุณภาพ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้อย่างตรงจุด รวมถึง การเพิ่มยอดขายและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ

นอกจากนี้ การจ้างอินฟลูเอนเซอร์ยังช่วยให้ SME สามารถสร้างเนื้อหาที่หลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์และมุมมองใหม่ๆ จากอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงและเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการผลิตเนื้อหาเองอีกด้วย

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่การจ้างอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยรีวิว กลายเป็นกลยุทธ์ที่ SME ไทยจำนวนมากเลือกใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จในยุคนี้

สำหรับ SME ไทยที่สนใจจะ จ้างอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยรีวิว หนึ่งในคำถามแรกๆ ที่มักจะเกิดขึ้น คือ “ค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ ไทย” หรือ ” เรทรีวิวสินค้าคิดยังไง ” เพื่อให้สามารถวางแผนงบประมาณได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปแล้ว การจ้างอินฟลูเอนเซอร์ คือ การว่าจ้างให้อินฟลูเอนเซอร์ผลิตเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือสินค้า ซึ่งรวมถึงการรีวิวสินค้าหรือบริการด้วย โดยเรทค่าจ้างจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนผู้ติดตาม ประเภทของเนื้อหา และแพลตฟอร์มที่ใช้

สำหรับ “เรทราคา Influencer IG” หรือ อินสตาแกรม นั้น อาจแบ่งได้ดังนี้

Nano Influencer (ผู้ติดตาม 1,000-10,000 คน): ประมาณ 500-3,000 บาทต่อโพสต์

สำหรับ “เรทราคา Influencer TikTok” อาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นวิดีโอสั้น

Nano Influencer (ผู้ติดตาม 1,000-10,000 คน): ประมาณ 1,000-5,000 บาทต่อวิดีโอ

นอกจากอินสตาแกรมและติ๊กต๊อกแล้ว แพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูป และทวิตเตอร์ ก็มีเรทค่าจ้างที่หลากหลายเช่นกัน ทั้งนี้ เรทราคาเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลประมาณการเท่านั้น ราคาจริงอาจมีความยืดหยุ่นและต่อรองได้ ขึ้นอยู่กับการเจรจาและข้อตกลงระหว่าง SME และอินฟลูเอนเซอร์แต่ละราย

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ SME ควรพิจารณางบประมาณที่มีอย่างรอบคอบ และเลือกจ้างอินฟลูเอนเซอร์ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับแบรนด์ และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย มากกว่าการเลือกจากราคาที่ถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว เพื่อให้การลงทุนในการจ้างอินฟลูเอนเซอร์เกิดประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้เหมาะสมกับแบรนด์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้แคมเปญประสบความสำเร็จ แบรนด์ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้

การคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยให้ SME สามารถเลือก จ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น 

การจ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว เป็น กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าสำหรับ SME ไทยในยุคดิจิทัล ปัจจัยสำคัญในการทำแคมเปญให้ประสบความสำเร็จ คือ การวางแผนที่ดี การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม และ การวัดผลอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์นี้อย่างชาญฉลาด SME ไทย จะสามารถก้าวสู่ความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ 

คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกับบทความ “จ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับ SME ไทย” นี้ ด้วยการคอมเม้นต์ด้านล่างนี้ หรือ ทักไลน์มาคุยกันได้ที่ @brandingchamp

The post จ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับ SME ไทย appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

วัยรุ่น อยากมีธุรกิจเล็กๆ ทำอะไรดี ? ทุกวันนี้คุณสามารถสร้างรายได้ด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ต้องลงทุนเลยด้วยซ้ำ หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการมี อาชีพเสริม จนเป็น ธุรกิจ เพราะถ้าคุณมีงานประจำหรืองานๆเดียวอาจไม่เวิร์คหรือยั่งยืนเหมือนสมัยก่อน บางคนอาจจำเป็นต้องใช้เงิน ด้วยเหตุนี้ วัยรุ่นยุคใหม่ วัยรุ่นสร้างตัว จึงต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ หรือเป็นนายตัวเอง ไม่เพียงแค่สร้างรายได้ให้มากพอเท่านั้น แต่ยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่บ้านได้อย่างภาคภูมิใจอีกด้วย เมื่อพูดถึง ธุรกิจ ก็อาจจะต้องมีเงินลงทุนบ้าง บางคนต้องใช้เงินออมหรือขอจากที่บ้าน ดังนั้น มันต้องคุ้ม แล้วธุรกิจเล็กๆแบบไหนที่เหมาะกับคุณวัยรุ่นยุคนี้

เราขอแนะนำธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ช่วยให้ คนรุ่นใหม่ วัยรุ่นสร้างตัว สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้ดี ด้วยการลงทุนได้เพียงเล็กน้อย แต่ก่อนอื่น จำเป็นต้องมาดูกันก่อนว่าสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจต้องการทำความเข้าใจอะไรบ้าง เพื่อให้การเริ่มต้นสร้างธุรกิจเล็กๆของคุณให้ประสบความสำเร็จ

– จงติดตามแนวโน้มทางการตลาดอยู่เสมอเพื่อดูว่าผู้คนให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสิ่งใดในสมัยนี้ หรืออนาคตอะไรจะเป็นตลาดที่น่าสนใจ หรือ ของเก่าๆอะไรอาจกลับมาโด่งดังอีกครั้ง

การประกอบกิจการเกี่ยวกับพันธุ์ไม้หรือพืชผัก สามารถเริ่มต้นได้จากที่บ้าน หอพัก หรือ คอนโด อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝุ่น PM 2.5 อาจเป็นปัญหาที่ใหญ่โตมากขึ้นอีก แนวโน้มการปลูกพืชผัก พันธุ์ไม้ที่บ้าน เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนไม่น้อย เพราะ ไม่ต้องจำเป็นต้องมีพื้นที่ดินเป็นสวนเป็นไร่ แต่กระถามหรือแปลงผักเล็กตอบโจทย์วัยรุ่นที่อยู่หอพัก คอนโด หรือบ้าน ได้แน่นอน มันเป็นความคิดที่ดีที่จะเริ่มขายต้นไม้ พันธุ์ไม้ หรือ พืชผัก ที่คุณชอบและสนใจ อยากเรียนรู้วิธีดูแล ยิ่งคุณรู้ลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ธุรกิจนี้ลูกค้าที่สนใจมีมากกว่า ผู้ปลูกด้วยซ้ำ การันตีได้ว่าถ้าตั้งใจทำจริงและสามารถหาตลาดที่เหมาะสมได้ ขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นได้ชัวร์

เห็นได้ไม่อยากผ่านการ ไลฟ์สด จำหน่ายเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า และ เครื่องประดับ มันจึงค่อนข้างเหมาะสำหรับวัยรุ่นที่ชื่นชอบแฟชั่น การแต่งตัว เหมาะจะเป็นธุรกิจเล็กๆได้ไม่ยาก เพราะขายออนไลน์ง่ายที่สุด ในการเริ่มต้นธุรกิจอาจเลือกซื้อสินค้าจากที่อื่นก่อนก็ได้ หรือ เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า และ เครื่องประดับ ของด้อมหรือกลุ่มแฟนคลับศิลปินต่างๆ จนเมื่อคุณทำกำไรได้แล้ว ให้ค่อยๆ ขยายรูปแบบสนิค้าของคุณ หรือ สร้างแบรนด์ของตัวเองได้เลย ดังนั้นตอนนี้คุณเพียงต้องเริ่มเข้าไปส่องหรือตามเทรนด์แฟชั่นที่คุณสนใจได้เลย

เมื่อเราพูดถึงธุรกิจ เราก็มักจะมีงานขายอยู่ในใจเสมอ มีสินค้าหลากหลายที่สามารถทำกำไรได้ ถ้าวัยรุ่นเรียนรู้และเข้าใจว่าเพื่อนๆรุ่นเราต้องการอะไร การหาสินค้ามาขายไม่ได้ยาก ธุรกิจ นายหน้า Dropship หรือ Affiliate สามารถโพสต์ขายสินค้าได้เลยโดยไม่ต้องซื้อหรือลงทุนเอาของมาสต๊อกเก็บไว้ เพียงแค่สมัครสมาชิกแล้ว รีวิวสินค้านั้นๆผ่านโซเชี่ยลมีเดียของตัวเอง พอมีคนกดซื้อก็สามารถรอรับค่าคอมมิชชั่นได้เลย ถ้าอยากลองเริ่มธุรกิจนี้ TikTok Shop สำหรับครีเอเตอร์ เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มตันธุรกิจเล็กๆ สำหรับวัยรุ่นสร้างตัวยุคนี้

หากคุณเป็นวัยรุ่นที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบงานอาร์ท งานศิลป์ ที่ไม่เหมือนใคร ธุรกิจประเภทนี้เหมาะสำหรับวัยรุ่นอย่างคุณ การขายสินค้ารุ่นลิมิเต็ดหรือสินค้าหายากเป็นสิ่งที่คนต้องการและพร้อมจ่ายในราคาสูง เช่น หากมีคนต้องการซื้อคอลเลกชันของศิลปินชื่อดัง หรือ ไอดอลหน้าใหม่ คุณสามรถเป็นตัวแทนขายสินค้าเหล่านี้ได้เลย การันตีว่ามีโอกาสขายได้แน่นอน แถมยังมีโอกาสทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ หรือ บางทีคุณอาจขายสินค้าที่ทำเอง หรือ สินค้าประเภทอื่นๆด้วย ที่เราสินค้าแนะนำ ได้แก่ ของกระจุกกระจิกสไตล์วินเทจ แก้วน้ำรุ่นลิมิเต็ด, กระเป๋าแฮนด์เมด Art Toy ดังนั้นขั้นแรก คือ คุณต้องตัดสินใจว่า ใครคือกลุ่มเป้าหมายสำหรับธุรกิจของคุณ (จะขายให้ใคร?)

วัยรุ่นสร้างตัว จำนวนมาก ต้องการให้ตนสวยงามหล่อเหลาและโดดเด่นในสังคม จึงหันมาหาสิ่งที่ตนถนัด นั่นก็คือ เรื่องความงาม โดยธุรกิจเล็กๆที่อาจจะเหมาะสมที่สุดก็อาจเริ่มจาก งานขายเครื่องสำอาง เพ้นท์เล็บ ผลิตภัณฑ์ความงาม บำรุงผิว บำรุงผม อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับความสวยงามของแต่ละคน จนในที่สุดจากวัยรุ่นสร้างตัวอาจกลายเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามได้เลยก็เป็นได้ ตลาดด้านความงาม เป็นตลาดที่เติบโตเร็วและได้รับความนิยมทุกยุคสมัย ทำให้หลายคนใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจความงามภายใต้แบรนด์ของตนเอง นอกจากนี้ในปัจจุบันนี้ยังมีโรงงานหรือบริษัทที่รับผลิตในรูปแบบ OEM อีกด้วย คุณสามารถสั่งผลิตเครื่องสำอางได้หลากหลายตามความต้องการ แต่ถ้าอยากมีผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้แบรนด์ของตัวเอง “ควรศึกษาข้อมูลให้ดี” เพราะเราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้ด้วย

สินค้ามือสองที่ราคาถูกยังคงเป็นที่ต้องการของหลายๆคน เป็นบางครั้งอาจเป็นสินค้าหายากด้วย ลองเริ่มง่ายๆด้วยการหาและขายของที่คุณมี ที่คุณชอบ หรือ ที่คุณเชี่ยวชาญและมีความรู้เชิงลึก เช่น เสื้อเชิ้ต รองเท้า กระเป๋า ต่างๆ เรียนรู้และฝึกฝนวิธีการขายสินค้าให้ดีๆ ตั้งราคาให้เหมาะะสม รู้จักตัวสินค้าให้ลึก พร้อมมีเรื่องราวของสินค้าด้วยจะดีมาก วัยรุ่นชอบเดินเล่นห้าง ตลาดนัด เลือกซื้อสินค้าในสไตล์ที่ต้องการ มันถือเป็นความสุขของชีวิตคนชอบซื้อ แต่เราต้องไม่ลืมว่า การซื้อ หมายถึง เงิน ดังนั้นการเอาของใช้ของตนจำนวนมากมามองหาช่องทางขายดู เอามาทำความสะอาดหรือตกแต่งใหม่เพื่อขายเป็นมือสอง คุณจะได้รับทั้งความสุขและเงินทอง

บางคนไม่รู้ว่าการเป็น อินฟลูเอนเซอร์ นั้น เป็นงานสร้างสรรค์และเทรนด์ของโลกยุคนี้ มีช่องทางและโอกาสมากมายในปัจจุบันที่สามารถทำให้คุณเป็นผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียได้ การจะเป็น อินฟลูฯ ได้นั้นคุณอาจจะต้องเผชิญคำวิจารณ์มหาศาล และ การมีรายได้ที่ไม่มั่นคงในช่วงแรกๆ นี่เป็นการผจญภัยอย่างแท้จริง แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่อินฟลูเอนเซอร์มีพลังด้านการตลาดในสังคมปัจจุบันอย่างมาก คุณสามารถใช้ประโยชน์จากพลังนี้และเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆของคุณเอง ในหลากหลายรูปแบบ ลองนำเสนอความพิเศษของคุณหรือสิ่งที่คุณถนัด ให้คนติดตามคุณ แล้วหาผู้สนับสนุน รับรองไปได้ไกลแน่นอน

อย่ามองข้ามการมี สัตว์เลี้ยง ในยุคนี้ เทรนด์ของสัตว์เลี้ยงมาแรงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกธุรกิจในปัจจุบัน ถ้าการดูแลสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งคุณชอบและรักมัน มันเป็นธุรกิจได้แน่นอน สุนัข แมว ปลา นก สัตว์แปลก ฯลฯ คุณสามารถเลือกที่คุณต้องการ รู้หรือไม่ว่า แค่ธุรกิจรับเลี้ยงสัตว์ สร้างรายได้ขั้นต่ำได้ถึง 500 – 1000 บาทต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทสัตว์เลี้ยงที่คุณดูแล นอกจากนั้น สินค้าอื่นๆที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเจ้าของเอง ก็พร้อมจะจ่ายได้ในราคาสูงๆอีกด้วย

นับเป็นอีกธุรกิจที่น่าจับตามอง เจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษร Game Moderator หรือ คนตรวจสอบคำและภาษาในเกม มีความต้องการอย่างมากในยุคนี้ หากคุณเป็นคนชอบเล่นเกมและมีความสามารถในการสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆในเกม งานนี้อาจเหมาะกับคุณ เพราะช่วงนี้หลายๆเกมเปิดตัวใหม่และต้องการมีเวอร์ชั่นภาษาไทย (ที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น) คุณยังหางานลักษณะนี้ในเว็บไซต์ฟรีแลนซ์ต่างๆได้อีกด้วย งานนี้ทำเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ได้อย่างต่ำ 15,000-30,000 บาทต่อเดือน รวมถึงอาจมีสิทธิ์พิเศษในการได้ไอเท็มหรือสกิลในเกมแบบฟรีๆ

นักเขียน, นักเขียนโค้ด, นักออกแบบ, นักตัดต่อวิดีโอ, นักวาดภาพประกอบ, ศิลปินสติ๊กเกอร์ไลน์, ช่างภาพ, นักแสดงอิสระ, ตัดต่อวิดีโอ, ออกแบบกราฟิก และ อีกมากมายมหาศาลที่วัยรุ่นสร้างตัวสามารถเอาทักษะที่ตนเองมีมาสร้างให้เป็นธุรกิจได้

ท้ายนี้ คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกับบทความ ” ธุรกิจเล็กๆ สำหรับวัยรุ่น 10 อย่าง สร้างรายได้ ทำได้เลย ” ได้ด้วยการคอมเม้นต์ด้านล่างนี้ หรือ ทักไลน์มาคุยกับ อาจารย์แชมป์ ธิติพล เทียมจันทร์ ได้ที่ @brandingchamp

The post ธุรกิจเล็กๆ สำหรับวัยรุ่น 10 อย่าง สร้างรายได้ ทำได้เลย [ อ่านเถอะ !! ถ้าอยากมีอนาคตที่สดใส ] appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

การตลาดคลินิกความงาม ปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายมากมายที่มาพร้อมกับโอกาสมากมายเช่นกันในยุคดิจิทัล ด้วยตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 248,000 ล้านบาท ภายในอีก 4 ปีข้างหน้า ทำให้การแข่งขันในวงการนี้ ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่ผู้บริโภคมีความต้องการและความคาดหวังที่สูงขึ้น การทำการตลาดคลินิกความงามจึงต้องปรับตัวให้ทันกับเทรนด์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลอย่างชาญฉลาด และ การรักษาคุณภาพการบริการ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

เราขอเสนอ กลยุทธ์การตลาดคลินิกความงาม ที่ครอบคลุมทั้งการสร้างแบรนด์ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ การทำการตลาดแบบบอกต่อ และ การปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า โดยมุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือและคุณภาพของการบริการที่เป็นหัวใจสำคัญ

ไม่ว่าคุณจะเป็น เจ้าของคลินิกความงาม นักการตลาด หรือ ผู้ที่สนใจในธุรกิจนี้ เราหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลและแนวทางที่มีประโยชน์ในการวางแผนและการนำเทคนิคการตลาดคลินิกความงามไปใช้ ให้ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล พร้อมรับมือกับความท้าทายและโอกาสที่รออยู่ข้างหน้า 

การตลาดคลินิกความงามในประเทศไทย ปัจจุบันเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเทียบกับตลาดความงามทั่วไป ที่เกี่ยวกับ เครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม และ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผม ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 144,000 ล้านบาท

แม้ว่าตลาดจะมีขนาดใหญ่ แต่การแข่งขันในการทำการตลาดคลินิกความงามก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการรายใหญ่ มีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทมีเพียงไม่กี่ราย ส่วนใหญ่แล้ว ตลาดนี้เต็มไปด้วยผู้ประกอบการรายเล็กที่ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด

การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายเล็กในการทำการตลาดคลินิกความงามนั้นรุนแรงกว่าการแข่งขันระหว่างรายใหญ่มาก เนื่องจากรายเล็กมักจะใช้กลยุทธ์ การตัดราคา บางรายถึงขั้นใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. หรือ ใช้ยาที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีที่รายใหญ่ไม่ทำแน่ๆ

สถานการณ์นี้ทำให้การทำการตลาดคลินิกความงามกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่าง นอกเหนือจากการแข่งขันด้านราคา การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การให้บริการที่มีคุณภาพ และการสร้างความน่าเชื่อถือจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงามยุคใหม่

การทำการตลาดคลินิกความงามต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทัน ดังนี้

1. มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นมาก ตลาดคลินิกความงามมีการแข่งขันสูง โดยมีอัตราความล้มเหลวสูงถึง 95% เช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ การทำการตลาดคลินิกความงามจึงจำเป็นมากๆที่ต้องมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและแตกต่าง

2. มีการแข่งขันกันตัดราคา หลายคลินิกเน้นการแข่งขันด้านราคา ซึ่งมันอาจนำไปสู่การขาดทุนในระยะยาว ดังนั้นการทำการตลาดคลินิกความงามที่ดีควรเน้นการสร้างคุณค่าและความแตกต่างมากกว่าการลดราคา

3. การสร้างความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคสมัยนี้มีความระมัดระวังมากขึ้นในการเลือกใช้บริการคลินิกความงาม คลินิกความงามเอง จึงต้องเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและการรีวิวจากลูกค้าจริงๆ

4. การปรับตัวสู่การตลาดออนไลน์ ยุคดิจิทัลทำให้การทำการตลาดคลินิกความงามต้องปรับเปลี่ยนจากการทำการตลาดแบบดั้งเดิมสู่การตลาดออนไลน์ ซึ่งต้องอาศัยทักษะและความเข้าใจใหม่ๆ

5. การรักษามาตรฐานและคุณภาพ ในขณะที่มีการแข่งขันด้านราคา การรักษามาตรฐานและคุณภาพของการบริการก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงามตลอดมา เพื่อสร้างความพึงพอใจและการบอกต่อจากลูกค้า

6. การปรับตัวตามเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ การทำการตลาดคลินิกความงามต้องทันต่อเทรนด์ความงามและเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

7. การจัดการกับความคาดหวังของลูกค้า ลูกค้าคาดหวังสูงขึ้นเรื่อยๆ คลินิกความงามจึงต้องเน้นการสื่อสารที่ชัดเจน และ การจัดการความคาดหวังของลูกค้าให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้าใจและรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ นับเป็นกุญแจสำคัญของการทำการตลาดคลินิกความงามให้ประสบความสำเร็จ(ถ้าไม่นับรวมเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมูเตลู) ผู้ประกอบการต้องพัฒนากลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค

การทำการตลาดคลินิกความงามต้องเริ่มจากการเข้าใจขนาดของตลาดและแนวโน้มการเติบโต ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ ตลาดเสริมความงามในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในระดับที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ เช่น

1. การเพิ่มขึ้นของความตระหนักรู้ในด้านความงามและการดูแลตัวเอง

ประเภทของบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในตลาด แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้

1. คลินิกที่ให้บริการแบบ Non-invasive

2. คลินิกที่ให้บริการแบบ Minimally Invasive

3. คลินิกที่ให้บริการแบบ Invasive:

สิ่งสำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงาม คือ ต้องเข้าใจว่าแต่ละประเภทบริการมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและความต้องการที่แตกต่างกัน

การทำการตลาดคลินิกความงามต้องอาศัยกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้น คือ การสร้างแม่เหล็กดึงดูดลูกค้า หรือ Magnet Marketing ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้คลินิกความงามสามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาการลดราคาหรือโปรโมชั่นที่มากเกินไป

หลักการสำคัญของ Magnet Marketing ในการทำการตลาดคลินิกความงาม มีดังนี้

1. สร้างความน่าเชื่อถือ

2. ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

3. สร้างคุณค่าที่แตกต่าง

4. ใช้การตลาดเนื้อหา (Content Marketing)

5. สร้างชุมชนออนไลน์

การทำการตลาดคลินิกความงามด้วย Magnet Marketing จะช่วยให้คลินิกสามารถสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และดึงดูดลูกค้าใหม่โดยไม่ต้องพึ่งพาการแข่งขันด้านราคา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

การ รีวิว คือ เครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงาม เนื่องจากผู้บริโภคมักจะค้นหาและอ่านรีวิวก่อนตัดสินใจใช้บริการ ดังนั้น การใช้รีวิวอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าใหม่

วิธีการใช้รีวิวอย่างมีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. รวบรวมรีวิวจากลูกค้าจริง

2. นำเสนอรีวิวที่หลากหลาย

3. ตอบสนองต่อรีวิว

4. ใช้รีวิวในการสร้างคอนเทนต์

5. ส่งเสริมการแชร์รีวิว

6. วิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากรีวิว

7. สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

การใช้รีวิวอย่างมีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงามจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ และสนับสนุนการตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

แบรนด์ที่แข็งแกร่ง คือ หัวใจสำคัญของการทำการตลาดคลินิกความงาม เนื่องจากธุรกิจนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งจะช่วยสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขัน

วิธีการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. กำหนดจุดยืนของแบรนด์ (Brand Positioning)

2. พัฒนาอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity)

3. สร้างคุณค่าของแบรนด์ (Brand Value)

4. สร้างความสม่ำเสมอในการสื่อสารแบรนด์

5. สร้างความน่าเชื่อถือผ่านผู้เชี่ยวชาญ

6. ใช้การตลาดเชิงเนื้อหา (Content Marketing)

7. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

8. ใช้ Influencer Marketing อย่างมีกลยุทธ์

การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในการทำการตลาดคลินิกความงามเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเท แต่เมื่อทำได้สำเร็จ จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพิ่มความภักดีของลูกค้า และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ

การสร้างสังคมให้กับลูกค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงาม ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการรักษาฐานลูกค้าระยะยาว รวมถึงการดึงดูดลูกค้าใหม่ผ่านการบอกต่อ

วิธีการสร้างสังคมให้กับลูกค้าในการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. สร้างกลุ่มบนโซเชียลมีเดีย

2. จัดกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์

3. สร้างโปรแกรมสมาชิก

4. ใช้พื้นที่ในกลุ่มสังคมออนไลน์รีวิวและแชร์ประสบการณ์

5. จัดทำโปรแกรม Referral

6. สร้างเนื้อหาแบบมีส่วนร่วม 

7. ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างชุมชนออนไลน์

8. จัดทำโครงการเพื่อสังคมร่วมกับลูกค้า หรือ การทำ CSR

การสร้างสังคมให้กับลูกค้าในการทำการตลาดคลินิกความงามไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้คลินิกเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การพัฒนาบริการและกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง

การใช้ Influencer และ Brand Ambassador เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงาม ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ และขยายฐานลูกค้า โดยอาศัยอิทธิพลและความนิยมของบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์

วิธีการใช้ Influencer และ Brand Ambassador ในการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. เลือก Influencer และ Brand Ambassador ที่เหมาะสม

2. สร้างความร่วมมือระยะยาว

3. สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและเป็นธรรมชาติ

4. ใช้ Micro-Influencer

5. จัดกิจกรรมพิเศษร่วมกับ Influencer

6. ใช้ User-Generated Content (UGC)

7. วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

8. สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

การใช้ Influencer และ Brand Ambassador ในการทำการตลาดคลินิกความงามอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มการรับรู้แบรนด์ และดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังในการเลือก Influencer และวิธีการนำเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางการแพทย์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การร่วมมือกับแบรนด์อื่น หรือ การ X คือ กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงาม ช่วยขยายฐานลูกค้า เพิ่มมูลค่าให้กับบริการ และสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคลินิกที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า

วิธีการร่วมมือกับแบรนด์อื่นในการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. เลือกพันธมิตรที่เหมาะสม

2. สร้างแพ็คเกจบริการร่วมกัน

3. จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน

4. แลกเปลี่ยนฐานลูกค้าและช่องทางการตลาด

5. พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการร่วมกัน

6. ร่วมกันจัดทำเนื้อหาการตลาด

7. แบ่งปันทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ

8. สร้างโปรแกรมสำหรับลูกค้าร่วมกัน

การร่วมมือกับแบรนด์อื่นในการทำการตลาดคลินิกความงามไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า แต่ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ต้องเลือกพันธมิตรอย่างระมัดระวังและวางแผนความร่วมมืออย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทั้งสองฝ่าย

การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงามออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่มีคุณค่า ตรงประเด็น และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคลินิก

วิธีการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ในการทำการตลาดคลินิกความงามออนไลน์

1. วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าก่อน

2. สร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้

3. ใช้รูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลาย

4. นำเสนอกรณีศึกษาและผลลัพธ์จริง

5. ตอบคำถามและข้อสงสัยของลูกค้า

6. อัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่

7. สร้างคอนเทนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจ

8. ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นกันเอง

9. อัพเดทคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ

การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการทำการตลาดคลินิกความงามออนไลน์ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ดึงดูดลูกค้าใหม่ และรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม Organic Traffic และปรับปรุง SEO ให้กับเว็บไซต์ของคลินิกอีกด้วย

การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงาม ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า สร้างการรับรู้แบรนด์ และขยายฐานลูกค้าใหม่

วิธีการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม

2. สร้างคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม

3. ใช้ hashtag ที่เกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพ

4. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วม

5. ใช้ Influencer Marketing

6. โฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์อย่างมีกลยุทธ์

7. ตอบสนองและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

8. วิเคราะห์และปรับปรุงผลการดำเนินงาน

9. นำเสนอโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ

10. สร้างความสอดคล้องของแบรนด์

การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงามจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า เพิ่มการรับรู้แบรนด์ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการวางแผนที่ดี การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

การทำการตลาดแบบบอกต่อเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำการตลาดคลินิกความงาม เนื่องจากความเชื่อถือและการแนะนำจากคนรู้จักมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจใช้บริการของลูกค้า

วิธีการทำการตลาดแบบบอกต่อสำหรับการทำการตลาดคลินิกความงาม

1. สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

2. ส่งเสริมการแชร์ประสบการณ์

3. ใช้โปรแกรมแนะนำเพื่อน

4. สร้างชุมชนออนไลน์

5. ใช้ Influencer Marketing อย่างมีกลยุทธ์

6. นำเสนอกรณีศึกษาและเรื่องราวความสำเร็จ

7. จัดการกับรีวิวอย่างมืออาชีพ

8. สร้างความประทับใจด้วยการบริการหลังการขาย

9. จัดกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้า

10. ใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการบอกต่อ

การทำการตลาดแบบบอกต่อในการทำการตลาดคลินิกความงามเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าใหม่ โดยอาศัยความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าเดิม การสร้างกลยุทธ์ที่กระตุ้นให้เกิดการบอกต่อจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

การทำการตลาดคลินิกความงามในปัจจุบันต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือ

1. ตลาดที่อิ่มตัว

2. การแข่งขันด้านราคา

3. การแข่งขันด้านเทคโนโลยี

4. การแย่งชิงพื้นที่การตลาดออนไลน์

5. การรักษาฐานลูกค้าเดิม

6. การสร้างความแตกต่าง

7. การรับมือกับกระแสความงามแบบธรรมชาติ

8. การปฏิบัติตามกฎระเบียบและจริยธรรม

การเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในการทำการตลาดคลินิกความงามนั้น ผู้ประกอบการต้องมีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว และมีความคิดสร้างสรรค์ในการวางกลยุทธ์ การมุ่งเน้นที่คุณภาพการบริการ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และการใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดจะเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะการแข่งขันและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ความสำคัญของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

ในการทำการตลาดคลินิกความงาม คุณภาพและความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อความไว้วางใจของลูกค้าและความสำเร็จระยะยาวของธุรกิจ

1. สร้างความไว้วางใจจากลูกค้า

2. รักษามาตรฐานการบริการ

3. นำเสนอผลลัพธ์ที่เป็นจริง

4. สร้างความน่าเชื่อถือผ่านการตลาดเชิงเนื้อหา

5. รักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้า

6. สร้างความโดดเด่นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี

7. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

8. รับมือกับวิกฤตอย่างมืออาชีพ

9. ร่วมมือกับองค์กรที่น่าเชื่อถือ

10. ส่งเสริมความโปร่งใสในการทำการตลาด

การให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือในการทำการตลาดคลินิกความงามไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือจะเป็นจุดแข็งที่ช่วยให้คลินิกยืนหยัดและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ความสำคัญของการวางแผนการตลาดระยะยาว

การวางแผนการตลาดระยะยาวเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการตลาดคลินิกความงามให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

1. สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

2. พัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ยืดหยุ่น

3. ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม

4. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

5. เน้นการสร้างคุณค่าและคุณภาพ

6. พัฒนาการตลาดเชิงเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

7. วิเคราะห์และปรับปรุงผลการดำเนินงาน

8. สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ

9. เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ

10. พัฒนาทีมงานและวัฒนธรรมองค์กร

การวางแผนการตลาดระยะยาวในการทำการตลาดคลินิกความงามจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน การมองภาพรวมและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตจะช่วยให้คลินิกสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของตลาด

การทำการตลาดคลินิกความงามให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวนั้น จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปและการเปลี่ยนแปลงของตลาด ดังนี้:

1. ติดตามเทรนด์ความงามอย่างใกล้ชิด

2. รับฟังเสียงของลูกค้า

3. ปรับปรุงบริการให้ตรงกับความต้องการ

4. ใช้เทคโนโลยีในการให้บริการ

5. ปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทาง

6. เน้นการตลาดเชิงประสบการณ์

7. ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและระเบียบ

8. ตอบสนองต่อกระแสความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม

9. ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ

10. เตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตและสถานการณ์ฉุกเฉิน

การปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคลินิกความงามจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน การเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการปรับตัวตามสภาพตลาดและสังคม จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวของคลินิกความงาม

คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกับบทความนี้ได้โดยการคอมเม้นด้านล่างนี้ หรือ ทักไลน์มาคุยการได้ที่ @brandingchamp

The post กลยุทธ์ การตลาดคลินิกความงาม อัพเดทใหม่ล่าสุด ทำเองง่าย ได้ผลจริง appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

โซเชี่ยลมีเดีย (Social Media) ไทย น่าสนใจมาก เราจะมาวิเคราะห์ Social Media ที่ นักการตลาดสายดิจิทัล ต้องจับตามอง วิเคราะห์ผ่านเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์หลายๆตัว ประกอบกัน

โซเชี่ยลมีเดียที่พูดถึง คือ Blockdit นั่นเอง Blockdit มากับสโลแกนว่า Ideas Happen. เป็นเพลตฟอร์มสำหรับผู้ที่มองหาไอเดียใหม่ๆ มีผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ Blockdit มาจากคำว่า Block บวกกับ Editor พูดง่ายๆคือ เราสามารถเขียนข้อความ บทความอะไรลงไป ให้สามารถแก้ไข (Edit) ให้อ่านเข้าใจง่าย ด้วยการแบ่งเป็นบล็อคๆ นั่นเอง จะมีทั้ง นักเขียน นักพูด แล้วก็เป็น เพลตฟอร์มสำหรับคนที่สนใจด้านการพัฒนาตัวเอง เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ รวมตัวกันอยู่

จากข้อมูลที่ได้ ตอนนี้มีผู้ใช้งาน ทั้งใน แอพพลิเคชั่น และ แพลตฟอร์มที่เป็นเว็บไซต์ เป็นเพศชายประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นเพศหญิงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ใช้งานจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 25 – 44 ปี

เป็นแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียของคนไทยที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันที่เช็คล่าสุดก็มีผู้ใช้งานประมาณหนึ่งล้านคนแล้ว ตอนนี้มีผู้ใช้งานที่เข้าไปแล้วเปิดเป็นเพจ (คล้ายๆกับเพจใน facebook) ประมาณ 13,000 เพจ และน่าจะมีผู้ใช้เข้ามาเปิดเพจเรื่อยๆ

ในมุมของโซเชียลมีเดีย คนไทยเข้ามาใช้งานเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตัว Blockdit เองก็มีวิธีการอำนวยความสะดวกกับผู้ใช้งานมากมาย ตัวอย่างเช่น เราสามารถลงบทความ และ สามารถซื้อโฆษณาให้บทความนี้ เพื่อส่งไปถึงคนได้มากขึ้น (คล้ายๆกับการซื้อโฆษณาใน facebook) รวมถึง มีการซื้อโฆษณาให้คนมากดติดตามในเพจเราได้ (คล้ายๆกับการซื้อโฆษณาให้คนกดไลค์เพจใน facebook)

ปัจจุบันผู้ใช้สามารถสร้างรายได้ด้วย มีการเปิดให้สามารถรับรายได้จาก Blockdit ได้ด้วย (ถ้าผ่านเงื่อนไข) นอกจากมุมของการเป็นโซเชี่ยลมีเดีย และมีการซื้อโฆษณา มีการยิงโฆษณาไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ มีการแชร์เนื้อหาต่างๆมากมาย มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นข้อดีของการใช้โซเชียลมีเดียที่ นักการตลาด ควรศึกษาไว้

อีกมุมหนึ่ง ซึ่งสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะว่า Blockdit ทำการตลาดได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆครับ เนื่องจากว่า ไม่ใช่แค่โซเชี่ยลมีเดียที่เป็นเพลตฟอร์มปิดอย่างเดียว แต่ตอนนี้ หลายๆบทความที่ลงใน Blockdit สามารถถูกค้นพบได้ใน Google หลายคอนเทนต์ หลายเนื้อหา สามารถทำอันดับในการค้นหา Google ได้ดี (SEO : Search Engine Optimization) เช่นเดียวกัน

พาไปดูสถิติ ที่เกี่ยวกับการทำอันดับบทความต่างๆในเว็บไซต์ Blockdit เผื่อไว้ให้กับ นักการตลาด สายดิจิทัล ในการวิเคราะห์ว่า เราควรเอาบทความต่างๆไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ บทความ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ มาลงไว้ใน Blockdit หรือไม่

เครื่องมือแรกในการวิเคราะห์ คือ SimilarWeb เป็นเว็บไซต์ในการวิเคราะห์เชิงลึกสำหรับเว็บไซต์ทั่วโลก โดยคุณสามารถเข้าไปใช้งานเองได้ ในที่นี้ใช้งานในรูปแบบฟรีซึ่งจะมีการจำกัดข้อมูลบางส่วน เข้าไปเว็บไซต์ SimilarWeb.com แล้ว เอาเจ้า Blockdit เข้าไปดูสถิติว่า มีการใช้งานเว็บหรือข้อมูลอย่างอื่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง

จัดเป็นเว็บไซต์ประเทศไทย อันดับที่ 565 คือ ติดอยู่ในหนึ่งพันเว็บไซต์มีการใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย ค่อนข้างดีทีเดียว ที่น่าสนใจมากกว่านั้น ย้อนกลับไปดูเดือนธันวาคม 2020 มีผู้เข้าใช้งาน (Total Visits) ประมาณ 1 ล้านคน และระยะเวลาการใช้งานหรืออยู่ในเว็บไซต์เฉลี่ย 2.01 นาที เป็นคนไทย 97 เปอร์เซ็นต์

ข้อสังเกตสำคัญ สำหรับ นักการตลาดดิจิทัล คือ Blockdit มีผู้เข้าใช้เว็บไซต์โดยตรง 32.49 เปอร์เซ็นต์ แต่มีผู้เข้าใช้เว็บไซต์ด้วยค้นหาจาก Google ถึง 56.84 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นว่าจำนวนคนที่ค้นหาผ่าน Search Engine (อย่าง Google) เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์หรือบทความ สูงกว่า

มีผู้เข้าใช้เว็บไซต์จาก Social Media อื่นๆ อย่างเช่น อาจจะเอาไปแชร์ใน facebook ไปแชร์ใน LINE หรือ ในทวิตเตอร์ อีกอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์

ไปดูกันต่อว่า ส่วนใหญ่แล้ว ตอนนี้ บทความที่ถูกค้นหาแล้วติดอันดับแรกๆใน Google เป็นคำ (คีย์เวิร์ด) ว่าอะไร ข้อมูลของ SimilarWeb บอกว่า

อันดับ 1 คือ คำว่า blockdit 

อันดับ 2 คือ คำว่า ทรานส์เจนเดอร์

อันดับที่ 3 และ 4 คล้ายๆกัน คือ มีคนค้นหาคำว่า “วิธีเข้า pornhub” และ “เข้า pornhub”

เข้าใจว่าคงจะมีคนลงบทความนี้ไว้ ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่าการติดอันดับใน Google ด้วยคำค้น อย่าง porn หรือ pornhub อาจจะส่งผลไม่ดีกับ Blockdit ในการถูกค้นพบด้วย Google เท่าไหร่นัก

อันดับที่ 5 คือ คำว่า Timeless History

และสำหรับโซเชียลมีเดียที่มีการแชร์เรื่องราวของ Blockdit มากที่สุด คือ facebook รองลงมาเป็น twitter

พาไปดูการวิเคราะห์ส่วนอื่นๆ ด้วยเครื่องมือออนไลน์อีกตัวหนึ่ง คือ Moz.com ซึ่ง Moz เป็นเว็บไซต์สำหรับดูว่ามี ลิงค์ อะไรเข้ามายังเว็บไซต์ที่เราต้องการดูสถิติบ้าง และ สามารถดูได้ว่า เว็บไซต์ของเรามีคะแนนเท่าไหร่ คะแนนความน่าเชื่อถือของโดเมน (DA: Domain Authority)

ผลปรากฎว่า ในส่วนของ Anchor Text (มีคนทำ Link กลับที่เว็บไซต์ของเราด้วยคำว่าอะไรบ้าง หรือ เอาไปแชร์แบบไหนบ้าง) 

อันดับ 1 คือ ไม่ได้ ลิ้งค์กลับมาด้วย คำ แต่เป็นการแชร์ชื่อเว็บโดยตรง https://www.blockdit.com

อันดับ 2 คือ ลิ้งค์กลับมาด้วย คำว่า blockdit

อันดับ 3 คือ ลิ้งค์กลับมาด้วย คำว่า porn พูดง่ายๆว่า เป็นคำเกี่ยวกับเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ ซึ่งคิดว่า น่าจะไม่ได้ส่งผลดี กับ การทำอันดับใน Google (ความเห็นส่วนตัว) นอกจากนั้น ก็จะมีเนื้อหาที่มาเป็นอันดับต้นๆ เวลาค้นหา แล้ว Google ส่งคนไปยัง Blockdit คือเพจใน Blockdit ที่ชื่อว่า sblockthailand น่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุน หรือ เกี่ยวกับ Digital currency

ถัดมาก็จะเป็น Anchor Text ของบทความ จาก Success Journey อยากจะรวย แต่เกือบจะซวยเพราะไม่รู้กฎหมาย อาจจะเพราะมีการแชร์ไปแล้วมีการทำลิงค์แบบ Anchor Text กลับมาเยอะพอสมควร

นอกจากนี้ Moz จะบอกว่าหน้าไหนบ้างที่มีการทำลิงค์เข้ามามากที่สุด ซึ่งก็แน่นอนว่า อันดับ 1 และ 2 เป็นหน้าหลักของ Blockdit หรือ หน้าแรก และ อันดับที่ 3 เป็นเรื่องจากเพจ SBlockThailandTH ส่วน อันดับ 4 เป็นเพจของ Nation TV

อีกเครื่องมือสำหรับนักการตลาดดิจิทัลในการวิเคราะห์ โซเชี่ยลมีเดีย Blockdit ใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Ubersuggest ของคุณ Neil Patel เขาให้ใช้งานฟรี แต่ สามารถค้นหาหรือใช้ฟรีได้เพียง 3 ครั้งต่อวันเท่านั้น

อันดับ 1 มีคนเข้าชมมากที่สุด 8297 ครั้ง เป็นบทความจากเพจ เรื่อยเปื่อย ชื่อว่า ต่อเนื่องเรื่องสุราว่าด้วย เหล้าขาว เป็นการรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวเครื่องดื่มสุรา

อันดับ 2 มีคนเข้าชม 7872 ครั้ง คือ Thank You หรือ Thanks ใช้อย่างไร จากเพจ English by KruYell น่าจะสอนเรื่องเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษ

อันดับ 3 มีคนเข้าชม 5619 ครั้ง จากเพจ สุขภาพดีไม่มีในขวด ชื่อ Ponstan ไม่ได้มีแค่ปวดประจำเดือน

อันนี้น่ากลัวทีเดียว ไม่แน่ใจว่าทาง Blockdit ได้มีการตรวจสอบบทความต่างๆ หรือไม่ เพราะ บทความเกี่ยวกับคาสิโนออนไลน์มาเป็นอันดับ 4 เลยทีเดียว แล้ว อันดับ 5 ฟรีดาวน์โหลด Microsoft Office 2019 ที่อาจจะไม่ถูกกฎหมายก็ได้

สรุปภาพรวม ในมุม โซเชี่ยลมีเดีย Blockdit น่าสนใจทีเดียว เพราะเริ่มมีการเติบโต มีคนเข้ามาใช้งานมากขึ้นทุกวัน รวมถึงกลุ่มที่เข้าไปใช้งาน เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อมากทีเดียว และเราสามารถลงบทความพร้อมทั้งยิงโฆษณาไปให้คนเหล่านั้นได้เห็น และสามารถสร้างฐานแฟนได้คล้ายๆกับการทำ facebook page

และ การเขียนบทความลงไปบน Blockdit สามารถจะทำให้ติดอันดับ Google ได้ด้วย ก็ต้องดูในระยะยาว เพราะว่าเบื้องต้นก็พอเห็นบ้างแล้วว่า มีบทความทำอันดับใน Google ได้หลายๆคำ (keyword) แต่ก็ต้องมองไประยะยาว เพราะว่าคะแนนของ Moz ที่ให้คะแนนของเว็บไซต์ DA หรือ Domain authority โดย Blockdit ได้คะแนนที่อยู่ที่ประมาณ 39

ถ้าสามารถบริหารจัดการในเรื่องบทความใน Google ได้ดี ก็เข้าใจว่าน่าจะมีคนเข้าใช้งานมากขึ้นกว่านี้อีก ซึ่งอาจจะคล้ายๆกับแพลตฟอร์มหนึ่งของทางฝั่งอเมริกาที่ดังมากในการที่ถูกค้นพบใน Google ที่ชื่อ Medium.com ก็หวังว่าแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียของคนไทยจะไปถึงตรงจุดนั้นได้เช่นกัน 

The post โซเชี่ยลมีเดีย ที่ นักการตลาด สายดิจิทัล พลาดไม่ได้ [บทวิเคราะห์] appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.

ราคา seo ในธุรกิจ Digital Marketing เค้ามีหลักการประเมินกันอย่างไร อ่านบทความนี้จบ คุณสามารถตัดสินใจได้แน่นอนว่า ราคา จ้าง ทำ seo ที่คุณได้รับการเสนอมา นั้น สูง หรือ ต่ำ ว่าที่ควรจะเป็นในตลาดปัจจุบัน (ข้อมูล อัพเดทล่าสุด )

เพื่อทำให้คอนเทนต์นี้ ย่อยง่ายๆ และ นำไปใช้ได้จริงสำหรับธุรกิจของคุณ ผมจึงขอสรุปเป็นขั้นๆ เพื่อให้อ่านและทำความเข้าใจได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยจะเป็น ดังนี้ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการประเมินราคาการ ทำ seo ด้วยตัวคุณเอง

มีความเข้าใจผิดหลายอย่างใหญ่หลวง ที่คนส่วนใหญ่เป็น คือ การคิด “คำค้นหา” ในมุมมองของตัวเอง

ตัวอย่าง เช่น สมมุติว่า คุณขายครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของปะการัง คุณก็อาจจะอยากให้ใครก็ตาม ค้นหาคำว่า “ครีมปะการัง” แล้วเจอคุณเป็นอันดับหนึ่ง แต่สิ่งที่คุณพลาดไปไกล คือ การไม่มองในมุมของลูกค้า ซึ่งในกรณีนี้ ข้อมูลที่เป็นตัวเลขสถิติช่วยได้มาก ในกรณีนี้ คำว่า “ครีมปะการัง” ไม่มีปริมาณการค้นเลย พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่มีลูกค้า หรือ ไม่มีใครเค้าค้นหาครีมบำรุงผิวกันด้วยคำว่า “ครีมปะการัง” เลย

เมื่อคุณได้ข้อมูลจาก ขั้นตอนที่ 1 มามากเพียงพอแล้ว ในขั้นตอนต่อจากนี้ ก่อนที่เราจะทำการประเมินหรือ ตี ราคา ทำ seo ได้เอง คุณก็ควรจะรู้ว่า “มูลค่า” ของ คำค้น นั้นเป็นเท่าไหร่ โดยใช้ สูตรง่ายๆ ดังนี้

สูตรคำนวณ มูลค่า ของ คำค้นหา ติดอันดับ 1 บน Google ด้วยการทำ seo

Value = 0.32 x Volumn (ปริมาณการค้นหาคำค้นนั้น) x CPC (ราคาต่อคลิ๊ก)

สูตรคำนวณ มูลค่า ของ คำค้นหา ติดอันดับ 2 บน Google ด้วยการทำ seo

Value = 0.18 x Volumn (ปริมาณการค้นหาคำค้นนั้น) x CPC (ราคาต่อคลิ๊ก)

สูตรคำนวณ มูลค่า ของ คำค้นหา ติดอันดับ 3 บน Google ด้วยการทำ seo

Value = 0.11 x Volumn (ปริมาณการค้นหาคำค้นนั้น) x CPC (ราคาต่อคลิ๊ก)

จากข้อมูลข้างต้น ตัวอย่างเช่น คำว่า ‘ครีมบำรุงผิว’ มีปริมาณการค้นหา Volumn เท่ากับ 1,300 ครั้งต่อเดือน และ มี ราคาต่อคลิ๊ก (CPC : Cost per Click) ซึ่งถ้าหากการทำโฆษณากับ Google Ads อยู่ที่ 19.60 บาทต่อคลิ๊ก และ โจทย์ คือ ต้องการ ทำ seo ให้ติดอันดับ 1 บนกูเกิ้ล จะใช้สูตรคำนวณมูลค่า สูตรแรก ได้ผลลัพธ์ดังนี้

Value = 0.32 x Volumn x CPC

           = 0.32 x 1300 x 19.60

           = 8153. 6 บาท 

ดังนั้น หาก ทำ seo ได้ตามเป้าหมาย คือ ติดอันดับ 1 google ก็หมายความว่า มูลค่าของ คำนี้จะเป็น 8153.6 บาท (ต่อเดือน) ซึ่งจะเป็นส่วนที่ธุรกิจของคุณสามารถประหยัดไปได้ต่อเดือน แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า มูลค่านี้คือการ ประเมิน ราคาการทำ seo เพราะ ความจริงยังมีอีกส่วนหนึ่ง ในขั้นตอนสุดท้ายที่จะประเมินได้สมบูรณ์ขึ้น และ เป็นวิธีทั่วๆไป ที่ เอเจนซี่ หรือ ผู้ รับทำ seo (ที่มีจรรยาบรรณ) จะยื่นเสนอราคาให้คุณ

ในการดำเนินการทำ seo นั้นจะมีปัจจัยหลักๆ 5 ปัจจัย ให้ ผู้รับจ้างทำ seo ต้องคำนึงถึง (ในกรณีที่ เป็นผู้ รับทำ seo สายขาว คือ ปฎิบัติตามกฎเกณฑ์ของกูเกิ้ล ไม่ใช้ทางลัดหรือโกงเพื่อขึ้นอันดับ 1)

ปัจจัยแรก คือ อายุของโดเมน ว่า มีการจดโดเมน (ชื่อเว็บไซต์) มานานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากเป็น โดเมนที่มีการจดทะเบียนหรือซื้อมานานมากกว่า 6 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นไป ก็จะเป็นปัจจัยให้การทำ seo ง่ายขึ้นระดับหนึ่ง

ปัจจัยที่สอง คือ โฮสติ้ง และ เว็บไซต์ (Offpage) โดยผู้ที่ รับทำ seo จะตรวจสอบว่าตัวเว็บไซต์ของคุณอยู่ที่ไหน (hosting) และ ใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเว็บ เช่น

1. จ้างเขียนเว็บขึ้นมาเอง หรือ

2. ใช้ ระบบ Content Management System (CMS) อย่าง wordpress , magento , WIX, Weebly, …

3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเว็บสำเร็จรูปอื่นๆ อย่าง Lnwshop , Shopup

ทั้ง 3 รูปแบบนี้ ก็จะมีความยากง่ายใน การผลิตคอนเทนต์หรือบทความ การ Optimize หรือ การปรับแต่งเว็บของคุณให้ Google พึงพอใจที่จะเอาเว็บไซต์ของคุณไปไว้ ที่อันดับ 1 ในผลการค้นหา ทั้งเรื่องของการตกแต่งจัดวาง ประสบการณ์ของผู้เข้าชมเว็บ UI/UX หน้าตาของเว็บ ความเร็วในการโหลดเว็บ และ อื่นๆอีกมากมาย

ปัจจัยที่สาม คือ Backlink หรือ การทำลิ้งค์เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ โดยทั้งจะต้องแก้ไขหรือลบสำหรับลิ้งค์จากเว็บที่ไม่ดีที่เข้ามาเว็บคุณ และสร้างลิ้งค์จากเว็บคุณภาพสูงและมีเนื้อหาที่เข้ากันได้กับเว็บไซต์ของคุณ ชี้กลับเข้ามาที่เว็บไซต์คุณด้วย

ปัจจัยที่สี่ คือ ระยะเวลาในการทำงานด้าน SEO โดยทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้นนี้ อาจจะกินเวลาการทำงานโดยรวมถึง ประมาณ 4 – 6 เดือน ซึ่งถ้าหากต้องการให้เร็วขึ้นกว่านี้ หรือ ไม่รีบร้อนมีเวลาสามารถยืดเวลาออกไปได้อีก เหตุเหล่านี้ก็จะมีผลต่อการคิดราคา ทำ seo นี้ด้วย

ปัจจัยที่ห้า คือ ความยากง่ายของคำค้น หรือ คีย์เวิร์ด ที่คุณต้องการให้ติดอันดับ Google โดยคุณสามารถดูความยากง่าย ของแต่ละคำค้น ที่คุณเลือกไว้ ได้จาก ค่า Search Difficulty (SD) ที่เป็นข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 จากเครื่องมือ Ubersuggest นั่นเอง และ ถ้าค่า SD ยิ่งสูง ก็หมายถึงมีความยากในการทำ seo มากขึ้น และ มันยังเป็นเป็นค่าคะแนนที่จะบอกว่าคุณมีคู่แข่งมากหรือน้อยอีกด้วย

ในขั้นตอนที่ 3 นี้จะชี้ให้เห็นว่าการดำเนินงานในการทำ seo นั้นมีหลายส่วนสัมพันธ์กัน ซึ่งถ้าเป็นกรณีของผู้ รับทำ seo สายเทา หรือ ดำ (Black Hat seo) พวกเขาจะไม่คำนึงถึงขั้นตอนที่ 3 มากนัก เพราะมีเทคนิคแปลกๆ ทางลัด หรือ แม้กระทั้งการโกงกูเกิ้ล ซึ่งในระยะยาวเว็บคุณอาจจะถูกแบนจาก google โดยเอาเว็บคุณออกไป ค้นหาไม่เจอที่ใดเลยก็ได้ ดังนั้นถ้าเป็น seo สายดำหรือเทา จะใช้เวลาน้อย และ ราคาค่าดำเนินงานไม่สูงนัก

ในการ รับทำ seo สายขาว แบบปกตินั้น จะค่อนข้างใช้เวลาและมีกิจกรรมหลากหลาย ดังนั้น ค่าบริการก็จะเปรียบได้เหมือนกับการจ้างพนักงาน สัญญาจ้าง คนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็หมายถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งในส่วนนี้คุณสามารถพูดคุยสอบถาม ได้เหมือนกับการสัมภาษณ์งานได้เลย รวมถึง คำถามที่คุณควรถามอย่างยิ่งคือ เคย รับทำ seo ให้กับ คีย์เวิร์ด หรือ คำค้น อะไร และทำให้กับเว็บไซต์ไหนมาก่อนบ้าง แล้ว ประเมินผลงานที่ผ่านมาของเขาด้วยขั้นตอนที่ 1 และ 2 ข้างต้นนี้ได้เลย

ดังนั้นถ้าจะให้ประเมิน ค่าบริการ หรือ ค่าดำเนินการ ก็จะอยู่ที่ตั้งแต่ 8,000 บาท จนสูงไปถึง 100,000 บาท ได้เลย ถ้าคำค้นหามีความยากมากๆและ มูลค่าของคำค้นหานั้นสูงมากๆ

วันนี้ Google ยังคงเป็นเครื่องมือการสืบค้นข้อมูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแม้ว่าจะมี Gen-AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์พยายามเข้ามาทำหน้าที่นี้แทนแต่ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก ทุกธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องประยุกต์ให้เข้ากับรูปแบบธุรกิจของตัวเอง เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ารวมทั้งสร้างรายได้ที่มากขึ้นด้วย แม้ว่าการทำการตลาดออนไลน์จะมีหลากหลายรูปแบบ แต่การทำอันดับเว็บไซต์ให้ปรากฎงอยู่ในผลการค้นหาของลูกค้าผ่านกูเกิ้ล หรือ Search Engine Optimization (SEO) เป็นเรื่องจำเป็น ในปัจจุบัน ประเทศไทยเรานั้น มีเอเจนซี่หรือบริษัทที่ให้บริการ รับทำ SEO อยู่มากพอสมควร เพื่อช่วยให้การทำ SEO ของคุณ บรรลุจุดประสงค์ในการทำธุรกิจของคุณได้ นอกจากเรื่องการพิจารณาราคาแล้วนั้น เราจึงขอแนะนำวิธีการเลือก บริษัทรับจ้างทำ SEO เพื่อเป็นทางเลือกให้คุณพิจารณา

การทำ SEO คือ กระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์หรือคอนเทนต์รูปแบบอื่นๆที่ปรากฏใขผลการค้นหาของ Google ตามกฎที่ Google เป็นคนกำหนด ดังนั้นเมื่อมีการปรับปรุงเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น วิดีโอ ภาพ หรือ Google Business Profile แล้ว ก็จะส่งผลให้เว็บไซต์หรือคอนเทนต์นั้นๆ ติดอยู่ในอันดับผลลัพธ์การค้นหาใน Google เมื่อถูกค้นตามคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการและเป็นคำที่ลูกค้าสนใจค้นหาด้วย ซึ่งก่อน คุณพอที่จะสามารถ ประเมิน ราคา จ้างบริษัทรับทำ SEO หรือ เอเจนซี่รับทำ SEO หรือ ฟรีแลนซ์ก็ตาม คุณก็ควรต้องมีความเข้าใจเรื่องของ SEO ก่อน เพื่อที่จะได้เลือกบริษัทที่ดีและเหมาะสม มาทำ SEO ให้ นี่หมายรวมไปถึง คุณก็ควรที่จะสามารถประเมินผลประสิทธิภาพของการทำ SEO ได้เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนด้วย

การทำ SEO คือ กระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์หรือคอนเทนต์รูปแบบอื่นๆที่ปรากฏใขผลการค้นหาของ Google ตามกฎที่ Google เป็นคนกำหนด ดังนั้นเมื่อมีการปรับปรุงเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น วิดีโอ ภาพ หรือ Google Business Profile แล้ว ก็จะส่งผลให้เว็บไซต์หรือคอนเทนต์นั้นๆ ติดอยู่ในอันดับผลลัพธ์การค้นหาใน Google เมื่อถูกค้นตามคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการและเป็นคำที่ลูกค้าสนใจค้นหาด้วย ซึ่งก่อน คุณพอที่จะสามารถ ประเมิน ราคา จ้างบริษัทรับทำ SEO หรือ เอเจนซี่รับทำ SEO หรือ ฟรีแลนซ์ก็ตาม คุณก็ควรต้องมีความเข้าใจเรื่องของ SEO ก่อน เพื่อที่จะได้เลือกบริษัทที่ดีและเหมาะสม มาทำ SEO ให้ นี่หมายรวมไปถึง คุณก็ควรที่จะสามารถประเมินผลประสิทธิภาพของการทำ SEO ได้เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนด้วย

ควรเริ่มจากการหาข้อมูล คนทำseo หรือ เอเจนซี่/บริษัทที่รับทำ SEO คุณจะพบคำต่างๆ เหล่านี้ สายขาว สายเทา และศัพท์แปลกๆเต็มไปหมด แถมส่วนใหญ่ยังเคลมว่าสามารถทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจคุณติดอันดับหนึ่งหน้าแรกของกูเกิ้ลได้ด้วย แล้วคุณจะเลือก คนรับทำseo หรือ บริษัทรับทำ SEO ที่ไหนดี ? ความจริงแล้วนั้น การรับทำ SEO เป็นบริการที่มีคนรับทำอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความถนัดและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล บริษํท หรือเอเจนซี่ แต่ 3 ข้อนี้ จะเป็นเกณฑ์ที่คุณควรใช้พิจารณา

1. รูปแบบการทำงานที่เข้ากันได้ บุคคล หรือ เอเจนซี่รับทำ SEO นั้น ควรมีการทำงานกันไม่ขัดแย้ง ไม่สร้างงานเพิ่ม และ ทำงานสอดคล้องรวมถึงคอยแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับธุรกิจของคุณ

สุดท้ายนี้ ถ้ายังมีความสงสัย หรือ สนใจเรื่องของการประเมิน ราคา seo ด้วยตัวเอง ในบทความนี้ หรือ ต้องการปรึกษาเรื่อง Digital Marketing เรื่องอื่นๆ สามารถทักไลน์ มาได้ที่ LineID: @brandingchamp

The post ราคา seo ประเมินเองได้ ไม่ต้องรอ ขอใบเสนอราคา (มีวิธีคำนวน) appeared first on ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์.