คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เมื่อจิตอยู่กับฐานเป็นส่วนมากนั่นคือ อยู่ภายในเป็นส่วนมาก นี่เป็นที่พึ่งที่พึ่งเดียวในแสนโลกธาตุ เป็นที่พึ่งเดียวจริงๆ ในโลกนี้สิ่งที่เรารักทั้งหมดเป็นที่พึ่งไม่ได้ เราจะต้องเสียน้ำตาให้กับสิ่งที่เรารักตลอดทุกภพทุกชาติ ถ้าน้ำนั้นไม่แห้ง ป่านนี้มันมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร เพราะมันรู้สึกว่าสิ่งที่รักเป็นที่พึ่ง เราจะต้องทุ่มเทชีวิตของเรา จมลงไปกับสิ่งที่เรารัก ชาติแล้วชาติเล่า แต่ไม่เคยมีสิ่งที่เป็นที่รักใดพึ่งได้เลย มันจึงเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา เพื่อให้ที่พึ่งอันประเสริฐ ตัวที่จะเป็นที่พึ่งจริงๆ คือ สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ จิตที่มันตั้งมั่นไว้อย่างชอบแล้ว นั่นคือที่พึ่งที่แท้จริง ไม่มีใครชี้ตรงนี้ได้นอกจากพระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้า รู้จักพระพุทธเจ้าเพื่อสิ่งนี้ นอกนั้นแล้วไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าบอกว่า มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด มันจะให้ทุกข์โทษยิ่งกว่านั้น
ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา เวรี วา ปน เวรินํ
มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ ปาปิโย นํ ตโต กเร
โจรกับโจรหรือคนจองเวรกับคนจองเวรที่มาเจอกัน มันจะสร้างความพินาศวอดวายให้เกิดขึ้นได้ ยังไม่เท่ากับจิตที่มันตั้งไว้ผิด มันสร้างความพินาศวอดวายให้มากกว่านั้น
ทีนี้คนก็หวังอะไรล่ะทีนี้? สิ่งที่เราทุ่มเททั้งหมดในชีวิต ก็คือ สิ่งอันเป็นที่รัก เรารักอะไรบ้างในชีวิตของเราตั้งแต่จําความได้ นั่นแหละคือจิตมันเป็นที่พึ่งในสิ่งนั้น ยึดเหนี่ยวในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่พึ่งยึดเหนี่ยวทั้งหมด พระพุทธเจ้าบอกว่า
น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญฺเญ วาปิ จ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร
บอกว่า มารดา บิดา หรือ ญาติอื่นๆอันเป็นที่รัก ไม่พึงทําที่พึ่งอันแท้จริงเกิดขึ้นได้ สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ ส่วนจิตที่มันตั้งไว้อย่างถูกต้อง จิตที่ตั้งไว้ชอบ เสยฺยโส นํ ตโต กเร จะทําที่พึ่งให้กับผู้นั้นยิ่งกว่า ยิ่งกว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง บุคคลอันเป็นที่รักทําให้ได้
ความตั้งมั่นนี่แหละคือที่พึ่งอันประเสริฐ ที่พึ่งอันสูงสุด เวลาจิตอยู่กับความตั้งมั่นนั้น ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด พระรัตนตรัยก็อยู่ตรงนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา สิกขา ๓ ก็อยู่ตรงนั้น มรรค ๘ ก็อยู่ตรงนั้น ตรงนั้นคือเส้นทาง คือจุดตั้งต้นที่จะให้ดําเนินเข้าไปในเส้นทางอันชอบจนกระทั่งไปถึงเส้นทางอันสูงสุด ตั้งต้นตรงนั้น ตรงนั้นจึงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ
เมื่อใดก็ตามที่เราบ่มความตั้งมันขึ้นมาอย่างมีกําลังในระดับหนึ่ง แล้วมันมีการรู้การเห็นในขณะที่จิตตั้งมั่นในกายในใจจนไม่มีอะไรแล้ว หมายความว่ากายก็รู้เห็นจนกระทั่งถึงการเกิดดับเป็นที่สุดแล้ว นาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็รู้เห็นถึงการเกิดดับจนถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีอะไรเหลือ มันเหลือแค่จิตที่ตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น ทีนี้มันก็จะมาดูตัวมันเอง แม้แต่ตัวมันเองที่ตั้งมั่นอยู่ ก็เป็นอย่างไร ตัวมันเอง ตัวจิตที่มันตั้งมั่นอยู่ก็เป็นสภาวะที่มีการเกิดการดับเป็นปกติ ตรงนี้แหละถ้าปัญญาลง อาสวักขยญาณมันลงมาแล้วเห็นตัวที่มันตั้งมั่นอยู่คือจิต จิตที่มันตั้งมั่นอยู่นี้ มันเป็นสภาพที่ว่าง ว่างในที่นี้หมายความว่าไม่ได้มีอะไรไปทําให้ว่าง แต่ปัญญามันรอบรู้ว่าตัวจิตนี้เป็นเพียงแค่สภาวะที่มันมีการเกิดและการดับ มันก็ว่าง ว่างคือว่ามันปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นอิทธิพลในความว่างนั้นได้ นั่นแหละเขาเรียกจิตอิสระ มันเป็นความเป็นอิสระของจิต อันนี้มันก็คือเป็นตัวที่เปลื้อง พอมันเปลื้องออกไป เปลื้องความเป็นตัวตนของจิตออกไป จิตจะเข้าสู่การรู้เรื่องสุดท้าย
เรื่องสุดท้ายที่ปัญญาจะลงเข้าไปรู้ ก็คือ เรื่องของธรรม ธรรม คือ ความเป็นอนิจจัง ความเป็นทุกขัง ความเป็นอนัตตา ในกายในใจนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นในสติปัฏฐาน ตัวสุดท้ายที่จิตจะเข้าไปรู้คือเรื่องธรรม แต่ทั้งหมดมันจะต้องมาจากความตั้งมั่น ความตั้งมั่นจึงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ความตั้งมั่นจึงเป็นจุดตั้งต้นที่ถูกต้องที่สุด ความตั้งมั่นจึงเป็นจุดอันชอบที่สุด ความตั้งมั่นจึงเป็นศูนย์รวมของกุศล ความตั้งมั่นจึงเป็นจุดนัดพบของผู้ปฏิบัติ
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร