คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
จากหนึ่งปีที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้พูดกันเรื่องอื่นเลย เน้นกันเรื่องของตัวฐานเป็นหลัก เวลาเรามาอยู่ในคอร์ส ๕ วันนี้ การอยู่ที่ฐานนี้ใช้ทําอะไรบ้าง นี่ก็จะบอกไว้ว่า ในเบื้องต้นเราอยู่ที่ฐานเพื่อกําจัดนิวรณ์ก่อน
อย่างนิวรณ์ ๕ กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เรียกว่า “ขุนพลของอวิชชา” เราไม่ต้องไปไล่ดับมันหรอก กามฉันท์ก็ไม่ต้องไปไล่ดับมัน พยาบาทก็ไม่ต้องไปไล่ดับมัน ถีนมิทธะก็ไม่ต้องไปไล่ดับมัน อุทธัจจกุกกุจจะก็ไม่ต้องไปไล่ดับมัน วิจิกิจฉาก็ไม่ต้องไปไล่ดับมัน เพียงแค่เราเข้าสู่ฐานเท่านั้น ตัวนิวรณ์ทั้ง ๕ มันก็จะหยุดชะงัก
ถ้าเคลื่อนจากฐานก็เสร็จนิวรณ์ เราจึงไม่ต้องไปเที่ยวไล่ล่านิวรณ์ แค่เข้าสู่ฐานแล้วมีสติรู้ลมอย่างถูกต้องตรงๆ แค่นั้น ตัวนิวรณ์ก็จะดับ
ถ้าอยู่ที่ฐาน มันมีกําลังไม่พอก็มันเนื่องด้วยอิริยาบถ ถ้าในอิริยาบถนั่ง เข้าสู่ฐานแล้ว สู้กามฉันท์ได้ สู้อุทธัจจกุกกุจจะ สู้พยาบาทนิวรณ์ได้ แต่สู้ถีนมิทธะนิวรณ์ไม่ได้ มันก็ใช้อิริยาบถ ยืน เดิน หรือถ้านั่งก็ลืมตาเสีย มิเช่นนั้นมันจะมีกําลังน้อย ก็แก้ไขกันอยู่แค่ตรงนี้
พอไม่มีนิวรณ์แล้วเรานั่งไปสักนิด พอมันเกิดมีกําลังเป็นสมาธิขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งหนึ่งที่พวกเรามักจะประมาทกัน คือ อุปกิเลสมันเกิด อุปกิเลสมันจะเกิดในขณะที่จิตเริ่มเป็นสมาธิ คือ ฐานเริ่มมีกําลัง มีสมาธิ และนิวรณ์มีผลต่อจิตน้อยมาก อุปกิเลสก็จะเกิด อุปกิเลสมันไม่ใช่อะไรนะ อุปกิเลสก็คือเครื่องหมายในการที่จะสื่อออกมาว่าเรา เช่น
อันแรกนี่เรียกว่า ตามลม ตามลมเข้า ตามลมออก ที่ว่า อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ นั่นน่ะเป็นต้นนะ คํานึงหาลมเข้า คํานึงหาลมออก อย่างนี้เกิดเป็นตัณหาจริยาขึ้น
อันที่สองก็คือ เรื่องของการเข้าหานิมิต คือ ถ้าเปลี่ยนคําว่านิมิตเป็นปลายจมูกนะ คือ มันวิ่งหาปลายจมูกในขณะที่ เรียกว่า คํานึงถึงปลายจมูกและกวัดแกว่งไปที่ลมเข้า คํานึงถึงลมเข้ากวัดแกว่งไปที่ปลายจมูกคํานึงถึงปลายจมูกกวัดแกว่งไปที่ลมออก คํานึงถึงลมออกกวัดแกว่งไปที่ปลายจมูก
แล้วเมื่อมีสภาวะใดเกิดก็แค่รู้มัน เราจะรักษาใจของเราเพื่อให้เกิดสภาวะแค่รู้นี้ ยาก ยากเพราะอะไร?เพราะตัณหาที่มีคู่อยู่กับจิต พอเรานั่งปฏิบัติปั๊บมันก็ไปแล้ว สังเกตพอนั่งสมาธิปั๊บ ตัณหาที่มันมีอยู่ประจําจิต มันก็จะบอกแล้ว อยากได้ลม ขณะที่ลมปกติยาวอยู่ มันก็อยากได้ลมสั้น พอลมมันสั้นเสร็จปั๊บ มันก็อยากได้ลมหยุด พอลมมันหยุดปั๊บ มันก็อยากจะได้ปีติ หรือพอมีปีติมันก็อยากได้สุข พอมีสุขมันก็อยากเห็นจิตตสังขาร พอเห็นจิตตสังขารมันอยากดับจิตตสังขาร มันอยากเห็นจิต มันอยากไปเรื่อย คือ เมื่อใดก็ตามที่มันอยาก มันจะหยุดอยู่ตรงนั้น ทันที เพราะตัวอยากมันจะห่อจิตออกไป แล้วก็พาไปปรุง ปรุง ปรุง
เรื่องฐานจึงเป็นเรื่องที่สําคัญมากเลย เพราะฐานจะเกี่ยวเนื่องกับรู้ พอนิ่งอยู่ที่ฐานปั๊บตัวรู้ที่มีอยู่เป็นธรรมชาติของจิตมันก็จะรู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่ถูกรู้นั้นจะต้องเป็นกายเป็นใจ นั่นก็คือลมหายใจ ในที่นี้มองเป๊ะไปเลยว่า เมื่อจิตนิ่งอยู่ที่ฐานมันต้องรู้ลม แต่ไม่ใช่รู้ชนิดที่เราไปขวนขวายหาลม
อีกประการหนึ่งคือต้องปลดปลิโพธนะ ปลดห่วงให้กับจิต อย่างคําพูดที่ว่า ให้ตรงไปสู่กายสู่ใจแท้ๆ ตัวที่ทําให้เราเข้าสู่กายสู่ใจไม่ได้คือปลิโพธ ปลิโพธคือความกังวล ความห่วง เยอะแยะไปหมด ความห่วงจะทําให้เราเข้าสู่กายสู่ใจไม่ได้ พอเข้าสู่กายสู่ใจไม่ได้จิตจะอยู่ที่ฐานได้ไหม? มันอยู่ไม่ได้ อยู่ได้ก็อยู่แบบกระท่อนกระแท่น อยู่แบบพยายามอยู่ ฝืนใจอยู่
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร