คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-8 ก.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ตัวที่เป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหมดในชีวิต เรากลัว เราเจอความทุกข์เรากลัวความทุกข์ ความทุกข์มาจากมันทั้งหมดเลย คือ จิตตสังขาร พอมันห่อจิตให้หลงเข้าไปในสังขารแล้ว มันก็จะไปถึงตัณหา ตัณหาก็จะไปถึงอุปาทาน ทุกข์ก็เกิดตรงนั้น ภพชาติก็เกิดตรงนั้น อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามกายใจนี้ มีการยึดมั่นถือมั่นที่ชื่อว่าอุปาทานเท่าไร
๑. กามุปาทาน คือส่วนที่ชอบ เรื่องของกาม หาสิ่งที่ชอบทั้งหลายแหล่ เรื่องของกามนี่เป็นส่วนนามธรรม จิตมีการหยั่งลงในสิ่งที่ใคร่ ที่ชอบ ที่ปรารถนา อย่างเทใจเลย ด้วยอุปาทานยึดมั่นถือมั่นนี้ จิตมันหยั่งลงในสิ่งที่ชอบ ที่ใคร่ ที่ปรารถนา แล้วก็มีภาพแห่งการเคลื่อนไหวในความยึดนั้น คืออยาก
๒. ทิฏฐุปาทาน หมายถึง ความเห็น ทุกคนมีความเห็นและล้วนแต่ยึดมั่นในความเห็นของตนความเห็นใดที่มีการยึดอยู่ ความยึดนั้นแหละเป็นทุกข์ ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตนเมื่อใด เมื่อนั้นเป็นทุกข์เพราะความเห็นส่วนใหญ่มันเป็นอะไร? ๒ ขั้ว คือ สัสสตทิฏฐิ กับ อุจเฉททิฏฐิ
- สัสสตทิฏฐิ คือ เห็นว่าเที่ยง เห็นว่าจริง เห็นว่าแน่ เห็นว่าคงที่ เห็นว่ามั่นคง เห็นว่ามีอยู่ตลอดไป
- อุจเฉททิฏฐิ คือ เห็นว่าขาดสูญ คือ เห็นว่าไม่มี อะไรก็ไม่มี อะไรก็ไม่ใช่ อะไรก็ไม่มี ขาดสูญหมด
ทั้ง ๒ ความเห็นนี้มันไม่เที่ยง อะไรที่เราเห็นว่ามันไม่มีมันมี อะไรที่เราเห็นว่ามีมันไม่มี อะไรที่เราเห็นว่าอย่างนั้นมันเป็นอย่างอื่น อะไรเห็นว่าอย่างโน้นมันเป็นอย่างนั้น อะไรที่เห็นว่าอย่างนี้มันเป็นอย่างโน้น มันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นการยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิเป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าบอกว่า อิทํสจฺจาภินิเวโส กายคนฺโถ เครื่องรัดรึง คือ การยึดมั่นถือมั่นในความเห็นที่ตนเห็นว่าสิ่งนี้จริง การยึดมั่นถือมั่นในความเห็นที่ตนเห็นว่าสิ่งนี้จริงและยึดไว้ นั่นนะทุกข์ ทุกข์เพราะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นของเรา แน่นอนเลยมันเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อย
๓. สีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในข้อปฏิบัติ ในขนบธรรมเนียมประเพณีที่ตนเชื่อ แม้กระทั่งรักษาศีล แค่รักษาศีล สมาทานศีลยังถือปฏิบัติที่ต่างกันเลย ยังเชื่อในการปฏิบัติในการรักษาศีลที่ต่างกันเลย ทั้งๆที่บทบัญญัติอะไรต่างๆเหมือนกัน แล้วก็ร่วมกับพฤติกรรมเรียกว่าข้อวัตรต่างๆเข้ามา แล้วก็มีความเชื่อ แล้วก็ยึดถือข้อวัตรเหล่านั้น แล้วก็ทำจนกระทั่งว่ายึดถือไม่ยอมเปลี่ยนแปลง การยึดถือแล้วไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ให้เป็นสีลพัตตปรามาส การยึดถือนี้มันเป็นตัวทุกข์ เป็นตัวทุกข์คืออะไร? มันไม่สามารถที่จะทําหน้าที่ในการเข้าไปขัดเกลากายใจรูปนามให้เป็นฐานที่ตั้ง อันนําไปสู่มรรคผลเบื้องสูงได้ มันก็เป็นตัวทุกข์อย่างหนึ่ง
๔. อัตตวาทุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในวาทะว่าตัวว่าตน อันนี้ชัดเจน คือยึดในความเป็นตัวตน ยึดในความเป็นก้อนกาย คือเห็นกายที่เป็นก้อนเป็นตัวเป็นตนนี้แล้วก็ยึดไว้ ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น แล้วก็เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน คือ การยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน ก้อนกายนี้ มันขัดแย้งกับความเป็นจริงอย่างแรง เพราะในความเป็นจริงมันไม่เป็นตัวเป็นตน
เมื่อใดก็ตามที่จิตเห็นความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่น แล้วมันเห็นความเป็นจริงของรูปนามในส่วนต่างๆ มันจะคลายอุปาทาน การเห็นตามความเป็นจริงทําไมมันจึงพ้นทุกข์? เพราะมันถอนอุปาทาน เข้าใจไหม? การเห็นตามความเป็นจริงมันจะถอนอุปาทาน รู้เห็นตามความเป็นจริง เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ ซึ่งมันเกิดขึ้นที่จิตอันตั้งมั่นที่มีสติแล้วแลอยู่
จิตที่ตั้งมั่นอันมีสติแล้วแลอยู่ พอมันมีกําลังในระดับหนึ่ง มันก็จะเห็น รู้เห็นรูป รู้เห็นกาย รู้เห็นตน รู้เห็นทิฏฐิ รู้เห็นอะไรต่างๆตามความเป็นจริง พอรู้เห็นตามความเป็นจริงมันก็จะคลายอุปาทาน คือ ความยึดถือที่มีอยู่แต่เดิม เรียกว่า รื้ออุปาทานออกไป พอรื้ออุปาทานออกไปได้ ตัณหาไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานได้เพราะอุปาทานมันถูกรื้อออกไป ทุกข์ก็ขาด ทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ญาณทัสสนะ คือ การรู้เห็นตามความเป็นจริง หรือเรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ มันอยู่เป็นระดับของมันต่างๆ ถ้าระดับชั้นทั่วๆไป อะไรต่างๆที่เรารู้ ในชั้นของความคิดที่เรารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว อะไรที่เรารู้จริงเรารู้เห็นตามความเป็นจริงจนเข้าใจมันตามความเป็นจริงแล้ว เราจะมีท่าทีในการปฏิบัติการต่อมันอย่างหนึ่ง
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร