คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-8 ก.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
การที่มันจะไปเพ่งบ้างเพลินบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพียงแต่เรารู้ไว้ว่าการที่จะทําอย่างไรให้เกิดการเพียรรู้ ก็คือแน่วแน่ในคําที่พระพุทธเจ้าชี้ไว้ คือ ถ้ามันไม่แน่ใจอะไรสักอย่างหนึ่งก็ถอยกลับไปดํารงสติอยู่เฉพาะหน้าเสียก่อน ปลอดภัยที่สุด ถ้าไม่รู้ว่าเพ่ง ไม่รู้ว่าเพลิน ไม่รู้อย่างนั้นแสดงว่าไม่เพ่งก็เพลินแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องไหลไปคิดอะไรกับเขามาก เพราะเรามันเพ่งเพลินมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว การที่จะมารู้แล้วจะไปเพ่งบ้าง เพลินบ้าง มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพียงแต่ว่าถ้าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความระแวง กังวล และสงสัยนะ ก็ถอยกลับมาตั้งต้น ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า เข้าสู่ฐานแล้วก็รู้ลมกระทบเสีย เพราะในคราที่มันเกิดความสงสัย จิตมันยังหยาบอยู่ ถ้าละเอียดแล้วมันสงสัยไม่ทัน มันไหล ก็หลงไปเลย ก็แก้ไม่ยากนะ แก้ได้ด้วยการปรารภความเพียร
เมื่อจิตมีความตั้งมั่น มันเริ่มละเอียดแล้ว มันก็เผลอเพ่ง เผลอเพลิน ได้เหมือนกัน แล้วมันลึกเราเอาไม่ทัน อย่างเช่น รู้ลมไปจนลมละเอียด จิตก็มีความตั้งมั่น พอสมควร ลมก็ละเอียดแล้ว รู้กําลังรู้อยู่ดีๆ แล้วมันมีความรู้สึกว่ามันหล่นปุ๊บเข้าไป หรือมันหลุดปุ๊บก็ไป พอมันหล่นหรือมันหลุด มันจะเกิดการสะเทือนต่อจิต จิตจะเกิดการสงสัยว่ามันเป็นอะไร ซึ่งถ้าเราผ่านคอร์สแค่รู้ สภาวะนี้ก็คือแค่รู้เฉยๆ อาการที่มันหล่นปุ๊บลงไปนั่นน่ะคือ การดับของสติ
พระพุทธเจ้าบอกว่า
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ
ธรรมชาติอันใดสภาพธรรมใดที่เกิดขึ้น ให้รู้ในสภาพธรรมนั้น รู้สภาพธรรมที่มันเกิดขึ้น มันเกิดก็คือเกิดขึ้น ไม่ต้องไปให้ค่าอะไรมัน แค่รู้ความเป็นจริงของมัน มันเกิดขึ้น
วยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ
จิตอาศัยกายอยู่ รู้ถึงสภาพธรรมที่มันดับไป
แค่รู้เรื่องนี้ ทําไมถึงรู้ เพราะว่าเมื่อมีสภาวะหล่นปุ๊บ จิตรู้ รู้ตัวนั้นคือสติ สติตัวที่รู้ที่เกิดขึ้นมาใหม่มันจะกั้นจิตไว้ไม่ให้ไหลไปกับสภาวะ พอไม่ไหลไปกับสภาวะ ตัวรู้นี้ก็เห็นถึงความเป็นจริงของสภาวะที่เกิด แล้วมันกั้นจิต ตัวสภาวะที่หล่นไปก็ดี หลุดออกไปก็ดี มันมีจิตเป็นแดนเกิด มีจิตเป็นปัจจัย พอมันเกิดกระบวนการแค่รู้ นั่นคือหมายถึงสติ สติเกิด สติตัวนั้นจะกั้นจิตไว้ข้างใน จิตที่ถูกกั้นไว้อยู่ข้างในเป็นเหตุเป็นปัจจัยของสภาวะนั้น สภาวะนั้นมีเหตุปัจจัยถูกตัดขาด มันไปต่อไม่ได้ มันก็ดับ นั่นน่ะแค่รู้เท่านั้น
ซึ่งบางสภาวะนี่มันเกิดแล้วมันสะเทือนนะ ไม่ว่าสุขหรือปีติ แม้แต่ปีติหรือสุขก็ตาม พอมันเกิดขึ้นปั๊บ มันว้าวขึ้นมา พอว้าวขึ้นมา นั่นคือจิตไปให้ค่าต่อสภาวะ พอให้ค่าต่อสภาวะ มันไหลเข้าไปสู่ในความหมายของของตัวที่เกิด จิตนี่ก็หลุด ตัวที่ไปนั้นคือจิต ไม่ใช่สติ
เราก็แค่รู้ พอแค่รู้ ตัวรู้ที่เป็นแค่รู้นี้มันคือสติ มันเกิดขึ้นปั๊บ มันกั้นจิตไว้ข้างในไม่ให้ไหลไปกับสภาวะ สภาวะก็ถูกตัดปัจจัยออกไป มันก็จะปรากฏเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นและก็ดับไป เพราะฉะนั้นแค่รู้นี่เป็นตัวที่แก้ได้หมด พระพุทธเจ้าแยกไว้ ๒ ศัพท์ คือ สติมัตตายะ กับ ญาณมัตตายะ
สติมัตตายะ คือ เพียงแค่ระลึก ญาณมัตตายะ คือ เพียงแค่รู้
หรือเป็นคําเดียวกันว่า เพียงแค่ระลึกรู้ต่อสภาวะนั้น ตัวที่ระลึกรู้นั่นแหละคือตัวสติ มันเกิดขึ้นแล้วมันจะกั้นจิตไว้ข้างใน ตัดปัจจัยของสภาวะที่เกิด สภาวะเมื่อไม่มีปัจจัย มันก็ดับ มันก็เพียงแค่รู้ว่ามันดับ นี่คือตัวแก้ ที่ถูกแล้วก็ตรง แล้วก็ได้ชะงักงันอย่างแน่นอน
ถ้าแค่รู้ ต้องเห็นสภาพที่เกิดและดับ นั่นจึงจะเรียกว่า แค่รู้เต็มรอบ
ถ้าว่าแค่รู้ แต่ว่าไม่เห็นการเกิด แค่รู้ แต่ไม่เห็นการดับ ยังคิดว่าตัวเองแค่รู้ นั่นแหละเรียกว่า หลงรู้ หลงรู้ในสภาวะที่มันเป็นแค่รู้ ถ้าแค่รู้คือการทํางานของสติ จะต้องเห็นการเกิดตามความเป็นจริง การดับตามความเป็นจริง ถ้าอะไรๆก็แค่รู้ คิดเอาเองว่าแค่รู้ นั่นหลงแล้ว หลงอย่างนั้นเรียกว่าหลงรู้
คนปฏิบัตินั้นไปถามพระพุทธเจ้าว่า
เกนสฺสุ อุฑฺฑิโต โลโก กายใจรูปนามนี้มีอะไรเป็นกับดัก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ตณฺหาย อุฑฺฑิโต โลโก ตัณหาเป็นกับดักของกายใจนี้
เพราะฉะนั้นการนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระมีสติแลอยู่ ตราบใดที่อยู่ตรงนั้น เขาทําอะไรไม่ได้ แต่ไหลออกไปในการให้ค่าสิ่งใดทั้งภายนอกและภายใน และจิตม้วนไหลเลื้อยเข้าไปสู่สิ่งนั้น ติดกับดักมันทันที พอติดกับดักมันแล้วเราก็เป็นอย่างไร ความหลงก็จะหาคําถาม หาคําตอบ บางทีมันก็ทั้งถามทั้งตอบ
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร