หลวงพ่อเจ้าคุณอาจารย์พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) บรรยายธรรม แก่ คณะเจ้าภาพนักปฏิบัติกลุ่มเรียนรู้ออกจากทุกข์ งานบำเพ็ญอุทิศกุศล แด่ครูอาจารย์และผู้ล่วงลับประจำปี ณ วัดบุปผาราม วันที่ 21 เมษายน 2567
มรรคที่เราจะเดินในชีวิตประจำวันได้นั้นต้องมีพระรัตนตรัย เมื่อมีฉันทะในพระรัตนตรัย ใจจะน้อมเข้าไปด้วยคุณสมบัติ 2 อย่าง
- กามวิเวก ไม่ตกอยู่ในอำนาจของความปรารถนา
- อกุศลวิเวก หลีกออกจากอกุศลโดยอัตโนมัติ
ถ้าใจมีกามวิเวกและอกุศลวิเวกเป็นคุณสมบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นทันทีพร้อมๆกัน นี่คือการแนบสนิทชิดกับพระรัตนตรัย
วิธีที่จะดูว่าเราใกล้ชิดกับพระรัตนตรัยไหม ให้สังเกตไปที่ใจของเราว่ามีสิ่งเหล่านี้
1) อนภิชฺฌาลุ วิหเรยฺย อยู่โดยความไม่เล็ง ความอยากที่งอกออกมาจากความโลภปกติ โลภที่งอกออกมานั้นเป็นเหตุให้การทำงานนั้นทุจริต
2) อพฺยาปนฺเนน เจตโส มีใจไม่พยาบาท โกรธปกติมีทุกคน แต่ไปถึงการที่จะทำร้ายกัน เบียดเบียนกันมันหยุด ที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มันไม่ใช่ความโกรธแล้ว มันงอกออกมาจากความโกรธ เรียก พยาบาท ถ้ามียังห่างพระรัตนตรัย วิธีคือแก้มันเสียด้วยการให้เห็นโทษของมัน ด้วยการทำโยนิโสมนสิการ ปลดเปลื้องมันออกไป ทุกคนมีลักษณะเฉพาะของเขา เห็นจนมันเป็นธรรมดา ใจก็จะคลายออกมา ปลงใจยอมรับได้
3) สโต มีสติ ดูตรงที่อายตนะกระทบกับโลก สิ่งใดก็ตามที่มากระทบ ใจเข้าไปรับรู้ แล้วใจไหลเข้าไปตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ แล้วก็ปรุงแต่งชุ่มแช่ออกไป ให้พึงรู้ไว้เลยว่า นั่นคือการไม่มีสติ การมีสติคือ มีความรู้สึกได้ สติจะทำหน้าที่กั้นใจไม่ให้ไหลออกไปในอารมณ์นั้นทันที
พึงเข้าใจด้วยว่า สติเป็นเพียงธรรมที่เกิดและดับในขณะจิต แต่สติจะเกิดกับจิตที่มีความตั้งมั่น จิตที่มีความตั้งมั่นแล้วมีสติแลอยู่ เมื่อมีอะไรมากระทบ ตัวที่จะเข้าไปเพื่อดูต่อสิ่งที่กระทบนั่นคือสติ มันเกิดแล้วก็ดับ จึงเรียกสติว่าเป็นเจตสิก เมื่อดับจะนำดอกผลที่ไปเสวยอารมณ์กลับมาสู่ภวังคจิต เพื่อที่จะให้เป็นวิบากของขณะจิตต่อไป ถ้าหลง กำลังของหลงก็จะเพิ่มขึ้น ถ้าโกรธ กำลังของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้น จึงต้องมีความตั้งมั่นของจิต
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเอกายโน อยํ มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยาโสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย
ช่องนี้ช่องเดียวเท่านั้น เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความล่วงแห่งทุกข์และโสกปริเทวะ เพื่อความดับแห่งทุกข์กายทุกข์ใจ เพื่อการเข้าถึงความรู้อันสูงสุด เพื่อการทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ช่องนี้คือสติปัฏฐาน ให้สติมีฐานเป็นที่ตั้ง และฐานที่จะเป็นที่ตั้งของสติก็คือกายใจแท้ๆนี้ อย่างอื่นไม่ได้ ถ้ากายใจแท้ๆเป็นฐานให้กับสติเมื่อใด สติที่เข้าไปแลดูอาการกายอากายใจแต่ละขณะ สตินั้นเรียกว่า สติปาริสุทธิ เป็น สติที่บริสุทธิ์ ทุกครั้งสติบริสุทธิ์เกิดขึ้นในหนึ่งขณะจิตแล้วดับไป จะตกเป็นความตั้งมั่นให้กับจิต เป็นความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ ความตั้งมั่นเมื่อมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ เรียก อุเบกขาสติปาริสุทธิ4) เอกคฺคจิตฺตสฺส อชฺฌตฺตํ สุสมาหิโต ความที่แห่งจิตมีอารมณ์อันเดียวอันเป็นภายใน ก็คือกายกับใจแท้ๆนี้ กายที่ไม่มีชื่อไม่มีสกุล ไม่มีเพศ ไม่มีวัย ไม่มีฐานะ ถ้าเราฝึกให้จิตมีประสบการณ์ตรงกับการที่มีอารมณ์อันเดียวอันเป็นภายในบ่อยๆ จะแตกดอกออกผลขึ้นมาข้างบนทั้ง 3 ตัวเลย เมื่อทำบ่อยๆจนชำนาญ
เวลากิเลสทำกับเราในสังสารวัฏที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ กิเลสทำกับเราสาหัสมาก ทำบ่อยๆ โกรธบ่อยๆ หลงบ่อยๆ เพลิดเพลินบ่อยๆ ไม่พอใจบ่อยๆ ดีใจบ่อยๆ เสียใจบ่อยๆ แล้วเราก็สั่งสมบ่มมันมาเรื่อยๆ จนเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครั้นเราจะมาสู้กับเขา ที่พระพุทธเจ้าบอก เราก็ต้องสู้อย่างนี้ เราก็ทำเหมือนที่มันทำกับเรานั่นแหละ แต่คนละขั้ว พลิกคนละข้าง ถ้าไม่พลิก เราจะสู้กับมันไม่ได้ แม้บางครั้งเราบอกว่าเราปฏิบัติธรรม แต่เราอยู่ในขั้วของมัน อวิชชาก็นั่งยิ้ม เพราะว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือกายใจรูปนามนี้ มันมีอวิชชาตีกรอบอยู่ แล้วปัญญาอยู่ข้างนอก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบของอวิชชา แม้นเราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อวิชชาก็นั่งยิ้ม อ้วนพีอยู่อย่างเดิม เพราะฉะนั้นจงดูบริบทที่มันมีรายละเอียดปลีกย่อยที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ ให้กับท่าน 4 ประการ
อนภิชฺฌาลุ วิหเรยฺย อพฺยาปนฺเนน เจตสา
สโต เอกคฺคจิตฺตสฺส อชฺฌตฺตํ สุสมาหิโต
ไม่เล็ง มีใจไม่พยาบาท มีสติ ฝึกให้จิตมีประสบการณ์กับการมีอารมณ์อันเดียว
อย่างนี้เรียกว่าเราได้แนบสนิทใกล้ชิดกับพระรัตนตรัย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน