คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหารจิตเดิมเราของแต่ละคนมันผุดผ่องเหมือนกัน ผ่องใสเหมือนกัน พระพุทธเจ้าว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ภิกษุทั้งหลายจิตนี้เดิมนั้นผ่องใสนัก
ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ แต่จิตนี้ถูกอุปกิเลสที่จรเข้ามาทําให้มัวหมอง
อุปกิเลส คือ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากการยึดถือปรุงแต่งด้วยอํานาจของอวิชชาที่จรเข้ามาอยู่ที่จิต ทําให้จิตที่ผุดผ่องแต่เดิมนั้น เกิดความมัวหมองเศร้าหมองเป็นมลทินขึ้นมา
จิตเดิม คือ จิตที่ยังไม่ได้เสวยอารมณ์อะไร จิตที่อยู่ที่กายเฉยๆ ยังไม่ได้รู้ทางตา ยังไม่ได้ไปปรุงแต่งทางตา ยังไม่ได้ปรุงแต่งทางหู ไม่ได้ปรุงแต่งทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตัวเดิมนั้นเขาเรียกว่าประภัสสร แปลว่า ผุดผ่อง ผ่องใส ทุกคนเหมือนกันหมด ปฏิสนธิจิตที่เข้ามาสู่ครรภ์มารดา จิตที่ผ่องใสนั้นอยู่กับอวิชชา พอคลอดออกมาจากท้องมารดาอายตนะแข็งแรง จิตที่ผ่องใสแต่มีอวิชชาอยู่ก็เข้าไปช่องทางของอายตนะ ไปเรียนรู้โลก เชื่อมต่อกับโลก และก็ปรุงแต่งไปตามอํานาจของอวิชชาเกิดเป็นอุปกิเลสจรเข้ามาสู่จิต ทําให้จิตนั้นถูกย้อมด้วยความรักบ้าง ความชังบ้าง ความถูกบ้าง ความผิดบ้าง สูงบ้าง ต่ำบ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง บุญบ้าง บาปบ้างที่เข้ามาสู่จิต ทําให้ความผุดผ่องนั้นถูกบดบังด้วยอุปกิเลส
การปฏิบัติธรรมมี 2 ชั้น 1. คลี่คลายอุปกิเลสที่จรมาเพื่อเข้าสู่ความดั้งเดิมของจิตให้ได้ก่อน2. บ่มความตั้งมั่น สติ สัมปชัญญะ ญานทัศนะ
ทั้งหมดนี้พระพุทธเจ้าสอนให้เราเข้าไปสู่ธรรมชาติแท้ๆที่เป็นกายเป็นใจก่อน ถ้าเราเข้าไปสู่ธรรมชาติแท้ๆที่เป็นกายเป็นใจได้ สภาวะที่มันทรงตัวเข้าไปรับรู้อยู่ตรงนั้น นั่นเป็นตัวเดิมของจิต เพราะว่ามันไม่มีการปรุงแต่งอะไร ท่านก็เลยใช้ลมหายใจนี้เป็นทางผ่านสําหรับที่จะไปเรียนรู้ความเป็นดั้งเดิมของจิต เพราะฉะนั้นความเป็นดั้งเดิมตรงนี้มันเข้าไปตั้งแต่ ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา แล้ว ถ้าเข้าไปสู่ตรงนั้นได้ ผู้รู้อยู่ที่นิมิตได้ อยู่อย่างอิสระได้ อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นธรรมชาติได้ ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซง ทั้งที่ผู้รู้ ทั้งที่สิ่งถูกรู้ ต่างก็เป็นธรรมชาติทั้ง 2 ฝ่าย ไม่แทรกแซงตรงนั้นได้ ตรงนั้นน่ะเป็นตัวเดิม ถ้าเข้าถึงตรงนั้นได้ ตรงนั้นเรียกว่านับหนึ่งถ้าเราฟังให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จิตตภาวนาของเราจะเริ่มต้นขึ้นได้
การภาวนาถ้าเราเอาเราเข้าไปเป็นผู้ภาวนา ทุกอย่างมันเป็นทวิภาวะ ทวิภาวะก็คือสภาวธรรมคู่ เช่นว่า ถูกก็มีผิด ดีก็มีชั่ว ขาวก็มีดำ สูงก็มีต่ำ ถ้าตราบใดที่ยังหยุดอยู่กับสภาวธรรมคู่ที่เป็นทวิภาวะมันเป็นจิตตภาวนาไม่ได้ ถ้าเป็นจิตตภาวนาจะต้องเริ่มต้นในสภาพของธรรมชาติที่เป็นอิสระด้วยวิธีที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นเอง
ในคอร์สนี้ให้พึงตระหนักรู้ให้แน่วแน่ว่า เราจะอยู่กับสภาวะรู้และสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ โดยทําเพียงแค่การสงบกาย สภาวะรู้ปรากฏ แล้วก็ให้รู้นั้นทําหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ตั้งต้นตั้งแต่ลม ตั้งแต่กาย ไม่ไปปัก ไปบังคับ นอกจากกายแล้วแม้แต่ความคิดก็จะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วย เมื่อเคลื่อนไหวก็รู้ อิริยาบถรู้ กายรู้ ลมรู้ความรู้สึกนึกคิดก็รู้ด้วย ไม่ว่าอะไรจะโผล่เข้ามา รู้ที่เป็นอิสระจะทําหน้าที่แค่รู้ไปตลอด แค่รู้ไปเรื่อยๆ อยู่ในทุกๆอิริยาบถ รู้อยู่ข้างใน กายใจที่ปรากฏ รู้นั้นจะชำเลืองเหมือนโคแม่ลูกอ่อนที่กําลังเล็มหญ้าอยู่แต่ในขณะเดียวกัน ก็ชําเลืองดูลูกน้อย พระพุทธเจ้าว่า
เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว คาวี ตรุณวจฺฉา ถพฺภญฺจ อาลุปฺปติ วจฺฉกญฺจ อปจินติ
ตัวรู้อยู่ที่นิมิตจะชำเลืองรู้ในขณะที่มีสภาวะปรากฏ คือ ความสั่นสะเทือนของกายของใจนั่นเอง แล้วมันกล้าพอแม้แต่ความคิด มันดูจนทันแม้แต่ความคิด ความคิดไม่ใช่เรื่องเลวทราม ความคิดไม่ใช่เรื่องดีหรือไม่ดี แต่ความคิดเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิต เป็นสภาวธรรม มันปรากฏขึ้นตัวรู้ทําหน้าที่แค่รู้ รู้ในความคิด รู้ความคิด รู้ว่าความคิดเกิด รู้ว่าความคิดตั้งอยู่ รู้ว่าความคิดดับไป แต่ถ้ามีการเข้าไปในความคิด ปรุงจนเกิดเป็นเวทนา คือ รู้สึกดี รู้สึกไม่ดี อันนั้นเป็นเราทันที แต่ในขณะที่รู้เขาทํางานอย่างอิสระตรงต่อความคิดที่ปรากฏ ความคิดที่ปรากฏ คือ ความคิดเกิดขึ้น ความคิดที่ตั้งอยู่ และเมื่อดับไป ความคิดก็ดับไป อันนั้นทําหน้าที่นั้นน่ะเป็นรู้ แต่ถ้าเข้าไปปรุงแต่งในความคิด ไปให้ค่าในความคิดอยู่ในอํานาจของความคิด จนจิตเสพเป็นอารมณ์เกิดความรู้สึกดีไม่ดีต่อความคิดนั้นๆขึ้นมานั้นเป็นเรา ถ้าเป็นเราขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นมันก็ทําลายจิตตภาวนา แต่ถ้าเป็นรู้อย่างอิสระมันก็จะเป็นการต่อยอดของการภาวนา
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา