คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหารสภาวธรรมในทางปฏิบัติ ก็คือขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18
ขันธ์ 5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เป็นสภาวธรรม
อายตนะ 12 ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ธาตุ 18
จกฺขุธาตุ รูปธาตุ จกฺขุวิญฺญาณธาตุ
โสตธาตุ สทฺทธาตุ โสตวิญฺญาณธาตุ
ฆานธาตุ คนฺธธาตุ ฆานวิญฺญาณธาตุ
ชิวฺหาธาตุ รสธาตุ ชิวฺหาวิญฺญาณธาตุ
กายธาตุ โผฏฺฐพฺพธาตุ กายวิญฺญาณธาตุ
มโนธาตุ ธมฺมธาตุ มโนวิญฺญาณธาตุ
นี่เป็นสภาวธรรม ที่มันเคลื่อนเวลาเรานิ่งรู้อย่างอิสระ นิ่งรู้เฉยอยู่ สิ่งที่มันปรากฏ คือ เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดที่เป็นสภาวธรรม เป็นสภาวะ ตัวรู้ที่มันรู้เห็นสภาวะเหล่านี้ตามความเป็นจริง ในที่สุดสภาวะเหล่านี้ตามความเป็นจริงของมัน มันจริง 2 อย่าง หนึ่ง จริงแบบสมมติ สอง จริงแบบปรมัตถ์ มันมีทั้ง 2 อย่าง เวลาจริงปรมัตถ์ คือ มัน ไม่มี จริงสมมตินี่มันเหมือนมีอยู่ แต่จริงปรมัตถ์มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของรูปขันธ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของเวทนาขันธ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขันธ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของจักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้น คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์มันคือ มันไม่มี แต่มันเป็นความจริงชั้นของปรมัตถ์
ความจริงสมมติมันมีอยู่ไหม ก็นี่ยังไงตามันมีอยู่ แต่ในปรมัตถ์จริงๆมันไม่มี
เราก็ต้องดูรูปขันธ์ คือ รูปเรานี้ มันแปรเปลี่ยนไปขนาดไหน มันมีอยู่จริงไหม เอาเป็นชิ้นๆเลย ว่ามันมีอยู่จริงไหม มันจับตรงไหน ตรงนี้เขาเรียกผม ใต้ผมเรียกว่าหนังหัวใช่ไหม นี่เรียกว่าคิ้ว สมมติทั้งนั้น ตรงนี้เรียกว่าตา ตรงนี้เรียกว่าจมูก ตรงนี้เรียกว่าปาก ตรงนี้เรียกว่าฟัน เป็นทัพสัมภาระทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าลงลึกไปกว่านั้นคือว่า แยกเป็นหมวดๆ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไม่มีอย่างอื่น
ดิน คือ ลักษณะที่เข้มแข็ง
น้ำ คือ ลักษณะที่มันเอิบอาบ เหลว
ไฟ คือ ลักษณะที่เร่าร้อน
ลม คือ ลักษณะที่มันพัดไปพัดมา อยู่ภายในภายนอก เท่านี้
แล้วเมื่อมันแตกสลาย ดินกลับไปไหน ดินก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม ธาตุทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วตรงไหนล่ะที่มี แล้วเราก็สมมติชื่อเรียก สมมติเรียกว่า เปิ้ล และเมื่อมันย่อยแยกสลายออกไปแล้ว ธาตุทั้ง 4 กลับคืนสู่ความเป็นสภาพเดิม คําว่า เปิ้ลไปไหน หายไปแล้ว หาไม่มีด้วย หาสักนิดนึงก็ยังไม่มี เวลาเขาเผา เกิดมีลูกมีเต้า เป็นคนมีคุณความดี เขาจะเก็บกระดูกไว้ มันใช่เหรอ มันใช่ไหม นั่นคือปรมัตถ์ เป็นความจริงในชั้นของปรมัตถ์ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านี้ อาศัยการยึดถือ ก็กลายเป็นความจริงในชั้นของสมมติ ถ้าเราติดสมมติทุกข์ยันตาย ถ้าติดสมมตินะ ทุกข์ไปตายเกิดมาใหม่ก็ทุกข์ไปตาย แล้วเกิดมาใหม่แล้วก็ทุกข์ไปตาย แล้วก็เกิดมาใหม่ ไม่จบ มันเป็นวัฏฏะ และเราก็จะมาให้เหตุผลว่าโอ้ยหลวงพ่อก็พูดได้ หนูยังต้องทํางานนะ ต้องเลี้ยงแม่ อย่างโน้นอย่างนี้ อ้าวมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราพูดกันถึงเรื่องของความจริงในชั้นของปรมัตถ์ กับความจริงในชั้นของสมมติ แล้วที่มานั่งภาวนากันอยู่ ที่ศึกษาธรรมะปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้จิตมันสว่างใช่ไหมปัญญามันเข้าถึงความจริงในชั้นของปรมัตถ์ที่มันเป็นความไพบูลย์ทั้งหมด เพราะว่าเมื่อจิตมันสว่างในชั้นของปรมัตถ์ ไพบูลย์ทั้งหมดแล้ว มันไม่ต้องมาทุกข์เพราะขันธ์ พระพุทธเจ้าบอก
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งหลายเป็นภาระจริงๆ
ภารหาโร จ ปุคฺคโล แต่บุคคลยังยึดถือภาระไว้
ภารนิกฺเขปนํ สุขํ การปล่อยวางภาระอันนี้ได้ เป็นสุข
ดังนั้นการปล่อยวางขันธ์นี้ ที่เป็นภาระอยู่นี้ มันเป็นสุข เพราะฉะนั้นสภาวะหนึ่งที่เราผู้เป็นนักปฏิบัติ คือ การวางขันธ์เกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นน่ะสุขแท้ ขันธ์เป็นภาระเพราะมันเปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็มีการยึดถือในขันธ์นั้นว่าเป็นเรา
เรื่องราวของสภาวะนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นปัญจโครส เป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษาพัฒนาให้มันปรากฏ เพื่อที่จะไปรองรับ
เมื่อใดที่เราเห็นตามพระพุทธเจ้าว่า ขันธ์นี้มันเป็นภาระ การเกิดมันเป็นทุกข์ การแก่มันเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยมันเป็นทุกข์ การตายมันเป็นทุกข์ ความโศกมันเป็นทุกข์ ความร่ำไรรําพันมันเป็นทุกข์ ความพลัดพรากมันเป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มันเป็นทุกข์ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 มันเป็นทุกข์ เมื่อใดที่เราเห็นแบบนี้ แล้วลองนึกดูสิว่านี่คือตัวเราใช่ไหม มันคือขันธ์ 5 ใช่ไหม แล้วเราเรียนรู้จนรู้สึกได้ว่ามันเป็นทุกข์ ครานั้นมันจึงจะเกิดการที่จะปลงภาระนี้