การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ตั้งกายตรง ตรงยืดเลย แล้วก็สงบกายลงมา ดํารงสติเฉพาะหน้า น้อมตัวผู้รู้อยู่เหนือริมฝีปากและปลายจมูก สงบกายปั๊บมันก็มาเลยนะ เพราะเราทําประจํามันจะมาตั้งเลย นิ่งรู้ รู้นิ่งๆ ไม่ต้องทําอะไร ไม่ต้องจ้องที่จะหาอะไรแม้แต่ลมหายใจก็ไม่ต้องจ้องไปก่อน รู้นิ่งๆอยู่ที่เดียว รู้นิ่งๆเฉยๆ ลมหายใจมาก็รู้ รู้ไม่กระสับกระส่ายเฝ้านิ่งรู้อยู่ตรงนั้น เรียกว่า รู้เฉยๆ นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่กระสับกระส่าย
เป็นอิสระจากความคิด แม้นมีความคิดมันก็ไม่ไหลไปกับสิ่งที่คิด เป็นอิสระจากความรู้ แม้มีความรู้สึก มีความจําใดๆโผล่ขึ้นมา ก็ไม่ไหลไปกับความจํานั้น เป็นอิสระจากความเชื่อ แม้มีความเชื่อใดๆ ก็เข้ามาแทรกแซงตัวรู้นิ่งเฉยอยู่นี้ไม่ได้ นี่เป็นอิสระ
ตัวผู้รู้อยู่ที่นิมิตก็จริง แต่มันไม่ใช่นิมิตแค่อาศัยอยู่ เหมือนน้ำที่อยู่ในขวด น้ำไม่ใช่ขวด ขวดก็ไม่ใช่น้ำ นิมิตที่ตัวผู้รู้อาศัยนิ่งเฉยอยู่นี้ก็ไม่ใช่นิมิต นิมิตก็ไม่ใช่รู้ ตัวผู้รู้ก็ไม่ใช่นิมิต แยกกันเหมือนน้ำกับขวด
จากนั้นตัวผู้รู้ทํากิจ คือ การดูลมหายใจนิ่งๆที่ผ่านเข้าผ่านออก ลมหายใจออกคือลมข้างในที่ไหลออกมาไม่ใช่เรา เมื่อลมข้างในไหลออกมาเราก็ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องจินตนาการว่าลมที่ไหลออกมานี้มาจากไหน เพราะถ้าทําอย่างนั้นคือการคิด ไหลออกมารู้ตรงที่รู้ได้ก็คือที่มันสัมผัสกับกายประสาทที่เป็นผิวหนังอยู่เหนือริมฝีปากปลายจมูก พอหายใจออกลมสัมผัสกับผิวหนังนั้น ตัวรู้ก็เข้าไปรับรู้ตรงนั้น รู้ลมกระทบออก เรียกว่า รู้ลมออก ลมเข้าก็เป็นลมนอกที่ไหลเข้า ลมนอกมาจากไหนก็ไม่ต้องไปรู้ ไม่ต้องไปสงสัย แต่เมื่อเคลื่อนเข้ามาแล้วมาสัมผัสกับกายประสาทที่ผิวหนังเหนือริมฝีปากและปลายจมูก ตัวรู้ก็เข้าไปรับรู้ตรงนั้น ตั้งแต่ต้นลมกลางลมปลายลมจนสุดลมหายใจเข้า เรียกว่า รู้ลมที่ไหลเข้า
รู้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างนี้ 2 คู่ 3 คู่ ไปเรื่อยๆลมก็จะเริ่มเรียบ นุ่ม เบา แต่ตัวผู้รู้นิ่งรู้เฉยอยู่ให้อยู่ที่ฐาน ฐานคือกายที่เราเรียกว่านิมิต เหนือริมฝีปากกับโพรงจมูกเฝ้านิ่งรู้อยู่ตรงนั้น
ถ้ามันหลุดออกไปไหลลื่นกับลม มันจะถูกแทรกโดยนิวรณ์ทันที ถ้ามันจับอยู่ตรงลมที่สัมผัส รู้แล้วพอไหลเข้าไปข้างใน มันวิ่งเข้าไปข้างในด้วย พอลมออกมามันวิ่งตามลมออกมาแล้วมันรู้ลมที่สัมผัสนั้น แล้วมันก็วิ่งออกไปด้วย โดยไม่นิ่งเฉยอยู่ที่นิมิต นั่นเรียกว่าฟุ้งซ่าน คือ อยู่กับอารมณ์หลายอารมณ์ วิ่งเข้าวิ่งออก เราต้องถอยกลับมานิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิตก่อน แล้วรู้ลมเบาๆตามธรรมชาติของมัน ถ้ารู้หลุดจากฐาน คือ หลุดจากนิมิตไปเกาะอยู่กับลมหายใจ ลมเข้ารู้ ลมออกรู้ แล้วลมก็จะแผ่วลง รู้ก็จะแผ่วลง เบาๆ แล้วมันจะเคลิ้ม แล้วสักพักหนึ่งมันจะหลับ ถ้ารู้สึกตัวว่าขณะนี้อยู่ในสภาวะนั้นเราตกอยู่ในอํานาจของนิวรณ์ ก็ถอยกลับมาเฉยๆ นิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิตตั้งขึ้นมาใหม่ ถ้าตราบใดที่นิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิต กําลังแห่งรู้ที่ปรากฏจะมีฐานเป็นอุเบกขา คือ ความนิ่งมีกําลังเพิ่มขึ้น ความง่วงจะไม่เกิด แม้เกิดจะไม่อยู่ในอํานาจของความง่วง
ลมจะเป็นอย่างไรให้เป็นเรื่องของลม ลักษณะลม บางครั้งแรง ยาว เป็นขยักๆ ก็ไม่เป็นไร นั่นเป็นความเป็นจริงของลมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น รู้ที่นิ่งรู้อยู่ก็รู้ลมนั้นตามความเป็นจริงที่ปรากฏ พอเรียบเป็นลมปกติก็จะเหลือแค่ลักษณะของลมที่กระทบต่อกายประสาท ตัวรู้เฝ้ารู้อยู่ตรงนั้น สบายๆ ไม่ต้องจ้อง เพ่งเล็งอะไรเขา
ขยับนิ้วมือขวา ให้ตัวผู้รู้ รู้นิ้วมือขวาที่ขยับ ปลายนิ้ว ยกมือขวาขึ้น ให้ตัวรู้รู้มือขวาที่เคลื่อน แล้วก็วางมือขวาวางไว้ที่เข่าข้างขวา ตัวผู้รู้นิ่งรู้อยู่ที่นิมิต แต่รู้เห็นมือข้างขวาที่วางไว้ที่เข่าข้างขวา ขยับนิ้วมือซ้าย ขยับปลายนิ้วมือซ้ายให้ตัวผู้รู้รู้สึก ยกมือซ้ายขึ้น ตัวรู้นิ่งเฉยอยู่ที่นิมิต แต่เห็นมือซ้ายที่ขยับ วางมือซ้ายที่เข่าข้างซ้าย รู้อยู่ที่นิมิตเห็นมือซ้ายวางอยู่บนเข่าข้างซ้าย น้อมรู้วางอยู่ที่นิมิต นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระอย่างนั้น แล้วก็ผงกหน้านิดหนึ่ง ลืมตาออกจากสมาธิ
ในระหว่างนี้ก็ใช้การต่อยอดการปฏิบัติไปเรื่อยๆ วิธีการก็คือ วกเข้าไปดูบ่อยๆ เรื่อยๆ นั่นดีกว่านั่งอยู่ในรูปแบบแบบนี้นะ รู้ที่นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระเข้าไปดูบ่อยๆ พอนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วรู้อะไรบ้าง นั่งลืมตานิ่งๆดูสิ มันนิ่งรู้เฉยๆอยู่อย่างอิสระ เห็นมันไม่ปรุงแต่งอะไรแสดงว่ามันสักแต่ว่าเห็น ได้ยินไม่ปรุงแต่งอะไรแสดงว่ามันสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อใดก็ตามที่เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง ได้ยินแล้วมันไม่ปรุงแต่ง แสดงว่ารู้อยู่ข้างไหน นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระทําอย่างนี้นะ
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ