คอร์สอานาปานสติ วันที่ 6-9 ก.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ปัญญาจะต้องอบรมให้เต็มรอบ ปัญญาได้จากการฟังเป็นหลัก ฟังให้เข้าใจ ความเข้าใจคือปัญญา ปัญญาจะเต็มรอบจากการสะสมความเข้าใจและทำให้เกิดจริง เห็นจริงในขันธ์๕ อายตนะ๖ ธาตุ๔ เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นตัวนี้มาจากการสะสมปัญญาพระพุทธเจ้าจะตรัสเป็นธรรมคู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ รู้มาจากการฟังและการเจริญมรรค เห็นผลของการเจริญมรรค ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
ตัวที่ขัดขวางการรู้อยู่เห็นอยู่ ตัวหลักคือ อวิชชา ถ้าไม่รู้จะทำให้เห็นผิด เห็นผิดว่ารูปนามเป็นตัวเป็นตน เห็นว่าเราที่ไม่มีอยู่มันมี
ความเห็นผิดจะทำงานเดินหน้าได้อย่างมีกำลังต้องอาศัยความหลง
ตัวรู้ที่มีสติ หยุดความหลง อาสวะ สังโยชน์ แต่ยังไม่ละ แค่หยุด
ตอนที่เราสงบกายให้ตัวผู้รู้ตั้งขึ้นดูอาการของกายอาการของใจตามความเป็นจริง วิชชาเกิดทันที กลไกของวิชชาทำการสะสมปัญญา สัมมาสมาธิก็เกิดทันที
ผู้ที่เข้าสู่สัมมาสมาธิไม่ได้ ประกอบไปด้วยธรรมชาติ5อย่าง
- ไม่อดทนในรูปที่มากระทบกับตา
- ไม่อดทนต่อเสียง
- ไม่อดทนต่อกลิ่น
- ไม่อดทนต่อรส
- ไม่อดทนต่อสัมผัส
ตัวจิตไหลไปกับอารมณ์ที่กระทบ การเข้าสู่สัมมาสมาธิก็ได้ มันฟุ้ง
ตัวที่แก้ปัญหาได้คือ สงบกายให้รู้ตั้ง ผู้รู้ที่เราอบรมบ่มเพาะมา ที่มีที่อยู่ที่อาศัย และเป็นธรรมคู่ คืออยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ มีวิหารของตัวเอง เริ่มต้นก็จะรู้ มีลมเป็นวิหาร กายเป็นวิหาร ใจเป็นวิหาร อาหารกายอาหารใจเป็นวิหาร เห็นอาการทั้งหมด ในอาการของกายของใจ เหตุที่เราเข้าไปไม่ถึงอาการเพราะมีชื่อหรือภาษากำกับ ถ้าถอดชื่อออก ตัวรู้จะรู้ถึงสภาวะนั้น เห็นอาการนั้นตามความเป็นจริง เมื่อรู้อิสระจากอาการ อาการเป็นสิ่งที่ถูกรู้ อาการเหล่านั้นจะปรากฏตามความเป็นจริง พอความเป็นจริงปรากฏมันคือเห็น
ตัวรู้ที่มีสติสมาธิอยู่บนความตั้งมั่น ทำให้ตัวรู้เป็นอิสระจากการควบคุมของอวิชชา นิวรณ์ ขณะที่ตัวรู้ทำหน้าที่อยู่ มันไม่ปรุง แต่ถ้าปรุงเมื่อใดอันนั้นเป็นเรา ชื่อที่เราเรียกล้วนมาจากปรุง เราจะภาวนาได้ดีต้องลงไปให้ถึงรูปถึงนามแท้ๆไม่มีชื่อ การที่จะเห็นว่ารูปนามไม่ใช่ตนไม่เที่ยง จะต้องให้ตัวรู้ดูไปจนถึงรูปนามจริงๆ ต้องฝ่าด่านที่มาจากการบัญญัติซึ่งปรุงขึ้นมาจากอาสวะโดยมาจากพื้นฐานของความเพลิดเพลิน พร่ำเพ้อ ดื่มด่ำในรูป ก่อให้เกิดความยินดี อุปาทาน เป็นภพในขณะจิต เมื่อจิตเสวยภายในด้วยความพร่ำเพ้อ ด้วยอำนาจของอุปาทาน นั้นเรียกว่าปฏิสนธิจิต ในขณะจิต จิตแรกที่เกิดจากการเสวยอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ที่เป็นการกระเพื่อมของจิต จิตนั้นเรียกว่าลงปฏิสนธิ เป็นเราแรงขึ้นไปเรื่อยๆตามลักษณะการปรุงแต่ง ตามเหตุตามปัจจัยที่ส่งผลสืบต่อกันไป จนในที่สุดก็ไม่ก้าวล่วงได้ซึ่ง ชรา มรณะ การปรุงแต่งในขณะจิตของอวิชชาที่มีอยู่ จะนำพาเราเข้าไปเป็นภพ เป็นชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงอยู่ในอำนาจของ ชรา พยาธิ มรณะ ความทุกข์ต่างๆก็ปรากฏ นี้เป็นสายของความเป็นเราทั้งหมด
พอตากระทบรูป มีผัสสะ ตัวรู้อยู่ในอำนาจของความเป็นเรา ก็เลยเกิดสภาวะว่าเราเห็น รู้สึก(เวทนา) ต้องการ(ตัณหา) เป็นอย่างนั้น(อุปาทานและภพ) เลยเป็นชาติขึ้นมา อยู่ในอำนาจของ ชรา พยาธิ มรณะ ทันที
การอดทนต่อสิ่งกระทบ ด้วยการทำกิจอื่นที่เป็นอิสระ บริสุทธิ์ ที่ทำให้มีอุเบกขา เกิดความตั้งมั่นอย่างแท้จริง ไม่ก่อให้เกิดความเป็นเรา ไม่เป็นอาหารของอวิชชาและนิวรณ์ กิจนั้นจะต้องฝึกฝน เช่น สงบกายให้ตัวรู้ตั้งขึ้นบริเวณนิมิตอยู่กับความนิ่ง พอสภาวะธรรมปรากฏก็รู้ ไม่เป็นเรา
ตัวผู้รู้บริสุทธิ์ หมายความว่า สติบริสุทธิ์ เป็นความบริสุทธิ์ของสติที่ตั้งอยู่บนอุเบกขา จึงได้ท้้งสติ สมาธิ และปัญญารวมเป็นความตั้งมั่น และถ้ามีกำลังมากขึ้น จะเป็นดวงของญาณที่เป็น อาสวักขยญาณ ตัวรู้ที่ทำหน้าที่ให้อาสวะสิ้น แค่เราสงบกายให้ตัวรู้ที่เราอบรมมาตั้งขึ้นอย่างบริสุทธิ์ ไม่ปรุง อาสวะหยุด สังโยชน์หยุด สังโยชน์จะหยุดเมื่อผู้ปฏิบัติรู้อยู่เห็นอยู่โดยความไม่เที่ยง
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน