อบรมอานาปานสติ ครั้งที่ 80 โดย (พระกิตติวิมลเมธี) พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโมผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2565 ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์ YouTube
ชีวิตเราสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับขณะจิตเดียว สุขหรือทุกข์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ดับไปแล้วเป็นอดีต แต่อำนาจของสัญญา อุปาทานยังอยู่ รั้งไว้ให้เหมือนกับว่ามันตั้งอยู่ในขณะจิตที่เป็นปัจจุบันในขณะจิตที่เป็นปัจจุบันให้ผู้รู้เข้าไปรู้อารมณ์อันเดียว ที่บริสุทธิ์ในขณะนั้น จิตจะผ่องใสทันที โดยเฉพาะการรู้ลมที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ ผู้รู้จะจมลงไปในสภาวะอันใดไม่ได้เลย เพราะทุกสภาวะมันเกิดดับ
สิ่งที่บัญญัติขึ้นมา เช่น ชื่อ ตำแหน่ง เป็นตัวปิดกั้นเราไม่ให้เข้าถึงรูปนาม สัญญาอุปาทานมาปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ การภาวนาต้องเปิดโอกาสให้ผู้รู้ทะลุทะลวงผ่านบัญญัติให้เข้าไปรูปนาม ความเป็นจริงให้ได้ จะเกิดเป็นปัญญาของจิต สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ปลดเปลื้องภาระออกไปได้เยอะมาก ช่วยให้การแผ่เมตตาง่ายขึ้น ก้อนรูปก้อนนามเป็นอนิจจัง เดินทางไปสู่ความย่อยยับ มีเหตุปัจจัยเข้าไปปรุงแต่งตลอดเวลา ทำให้จิตเราคลายจากความยึดมั่นคาดหมายด้วยอำนาจของสัญญาอุปาทาน
นำจิตผู้รู้ที่เด่นขึ้นมา ดูองค์ประกอบของธาตุตามความเป็นจริง ไม่ใช่ดูด้วยสัญญา อุปาทาน เช่นการดูผม ดูสันฐาน รูปร่าง ที่เกิด รู้ตรงๆซื่อๆที่ไม่มีการปรุงแต่ง ความเป็นจริงก็จะปรากฏ เห็นความปฏิกูล ไม่เที่ยง ไม่อยู่อำนาจในการบังคับของเรา เปลี่ยนไปตามเหตุ ปัจจัย นี่คือการต่อยอดของอานาปานสติที่เป็นสัลเลขธรรม (การขัดเกลา)
กิเลส (ความโกรธ เกลียด ริษยา) จะแรงตามกำลังของสมาธิ เราต้องต่อยอดความตั้งมั่นเข้าไปสู่ปัญญาด้วยการเอาตัวผู้รู้ไปดูความเป็นจริงของรูปนาม ปรากฏแบบไหนรู้แบบนั้น รู้ตรงๆซื่อๆ ตัวผู้รู้ รู้ว่าโกรธอยู่ ความโกรธทำอะไรไม่ได้ มีแต่จะดับไป เพราะแยกออกไปแล้ว เราต้องเปิดโอกาสให้ผู้รู้ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการปฏิบัติและชีวิตประจำวันเมื่อมีจิตผู้รู้ตั้งขึ้น ฝึกเอาจิตผู้รู้ไปดูรูปนามในปัจจุบันตามความเป็นจริง ความแน่วแน่ในปัจจุบันขณะนี้จะชำระล้างอุปกิเลสในอานาปานสติได้ด้วย รวมถึงนิวรณ์ด้วย (สภาพธรรมที่เป็นเครื่องกั้นธรรมสำหรับนำออก) ที่ตกผลึกทำให้เกิดการเรียกร้องหาสิ่งพอใจ เกิดความทะยานอยาก เรียกร้องให้ได้สิ่งที่พอใจตลอดเวลา และไม่พอใจเมื่อไม่ได้สิ่งที่พอใจ อย่าปฏิบัติเพื่อเอาแต่ใจตัวเอง เข้าไปตามกระแส เพื่อให้ความพอใจของตัวเองสัมฤทธิ์ผล
จะเดินตามพระพุทธเจ้า ต้องเข้าไปด้วยจิตผู้รู้ ไม่ใช่อำนาจของสัญญาอุปาทาน ไม่ใช้ด้วยอำนาจของการคิด แต่ต้องเข้าไปด้วยอำนาจของผู้รู้ที่มีความตั้งมั่นเป็นประธาน ความตั้งมั่นทำให้จิตผู้รู้เกิดการเห็น เห็นว่าผิด เห็นว่าถูก ความเห็นนี้คือสัมมาทิฏฐิ เมื่อจิตมีความตั้งมั่น จิตผู้รู้สามารถระลึกตรงไปในสิ่งที่ผิด ระลึกเข้าไปในสิ่งที่ถูก ความระลึกนั้นเป็นสัมมาสติ ความตั้งมั่นที่ตั้งมั่นในจิตผู้รู้ จิตผู้รู้มีความพยายามในการละสิ่งที่ผิด พยายามเข้าให้ถึงสิ่งที่ถูก ความพยายามนั้นเป็นสัมมาวายามะ นี้คือการปรับจิตผู้รู้เข้าสู่ฐานของมรรค
ฝึกฝนนำจิตผู้รู้ไปพิจารณาใช้ เรามีความเพียรแล้ว ต้องระวังอย่าให้นิวรณ์มากินมากไปในชีวิตประจำวัน
- เอาจิตผู้รู้ทะลุทะลวงบัญญัติเข้าไปสู่รูปนาม ไม่ใช่คิด ไม่ใช่สัญญา
- เข้าไปสู่รายละเอียดของรูปนามตามความเป็นจริง (โยนิโสมนสิการ) พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง องค์ประกอบของธาตุทั้งสี่ตามความเป็นจริง
- อย่าปล่อยให้นิวรณ์มีอำนาจจนเกินไป อะไรที่แก้ไขได้ แก้ไปตามสถานการณ์ อะไรที่แก้ไม่ได้ ยอมรับมันให้ได้ ถ้าเราไม่ยอมรับนั่นคือความหายนะ
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การปฏิบัติง่ายขึ้น เครื่องกังวลของผู้ที่เห็นไม่มี ต้องเห็นด้วยจิตผู้รู้ที่อาศัยความตั้งมั่น โลกคือมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ทำให้เกิดการเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน (สำคัญผิด) สัตว์ผู้อยู่ภายใต้อำนาจของโมหะ เคลื่อนไหวชีวิตคือการทำการพูดตัดสินใจไปด้วยอำนาจของอุปปัฏฐิ คนโง่ถูกอุปปัฏฐิมาล้อมไว้อีกชั้น มันจึงเหมือนถูกความมืดมิดนั้นล้อมชีวิตไว้ ทุกอย่างจึงปรากฏว่าเที่ยงเสมอ สิ่งอันเป็นที่รักเที่ยง ไม่ยอมรับความไม่เที่ยง เครื่องกังวลเหล่านี้ทั้งหมดของคนที่เห็นไม่มี ซึ่งเราต้องเห็นด้วยจิตผู้รู้
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน