ค่าเช่าบ้านราคาแรง กดดันเงินเฟ้อให้ยังคงอยู่
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไต้หวันในปี 2025 จะเริ่มชะลอลงจากระดับสูงสุดในปีที่ผ่านมา แต่ประชาชนกลับยังรู้สึกถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะใน "ภาคที่อยู่อาศัย" ซึ่ง ค่าเช่าบ้านยังคงพุ่งไม่หยุด และกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าครองชีพสูงต่อเนื่อง
ข้อมูลจาก Global Property Guide เว็บไซต์วิเคราะห์และจัดทำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ระบุว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนค่าเช่าเฉลี่ย หรือ(Gross Rental Yield) ของไต้หวันอยู่ที่ 2.24% เพิ่มขึ้นจาก 2.15% ในไตรมาส 3 ของปี 2024 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดปล่อยเช่าเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ถึงแม้จะยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดอสังหาฯ ระดับโลก
จากข้อมูลล่าสุด “ค่าเช่าห้องแบบหนึ่งห้องนอนในไทเปอยู่ที่ประมาณ 31,600 เหรียญไต้หวัน/เดือน ซึ่งถ้าเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนวัยทำงานไต้หวันที่ประมาณ 40,000–50,000 เหรียญไต้หวัน ท่ากับว่าค่าเช่าห้องกินไปมากว่าครึ่งของรายได้ต่อเดือน ในขณะที่ราคาซื้อขายอสังหาฯแบบ1ห้องนอนจะอยู่ที่ประมาณ 20.8 ล้านเหรียญไต้หวัน หากเป็นกรณีซื้อแล้วปล่อยเช่าอัตราผลตอบแทนค่าเช่า (Gross rental yield) อยู่ที่ประมาณ 1.82% งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในเอเชีย สำหรับห้อง 2 ห้องนอนผลตอบแทนสูงสุดจะอยู่ที่ 2.39% ซึ่งมีราคาซื้อขายที่สูงมาก แต่กลับให้อัตราผลตอบแทนต่ำ นอกจากจะไม่จูงใจนักลงทุนแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าราคาซื้ออสังหาฯ เติบโตเร็วกว่าราคาค่าเช่ามาก ภาวะนี้สะท้อนถึง "ฟองสบู่ค่าเช่า" ที่ประชาชนต้องแบกรับ คนทั่วไปที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้ก็ยังต้องเผชิญกับค่าเช่าที่สูง เพราะเจ้าของก็ต้องพยายามตั้งราคาที่สูงเพื่อให้คุ้มกับต้นทุนที่จ่ายไป ถึงแม้จะสวนทางกับรายได้ของผู้เช่าก็ตาม และเมื่อค่าเช่าเพิ่มขึ้นในขณะที่รายได้เฉลี่ยของประชาชนไม่ได้ปรับตัวตาม คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงไม่สามารถซื้อบ้านได้ หรือแม้แต่การเช่าก็ยังกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่ประชากรเริ่มย้ายออกจากเมืองไทเปไปยังเมืองอื่น เช่น เกาสงและไถหนาน ที่ค่าเช่ายังอยู่ในระดับที่ "พอจ่ายไหว"
แม้รัฐบาลไต้หวันจะมีพยายามช่วยสนับสนุนค่าเช่าผ่านโครงการบ้านเช่าสำหรับคู่สมรสและครอบครัวใหม่ แต่ในทางปฏิบัติหลายคนยังเข้าไม่ถึงสิทธิเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอิสระและคนทำงานนอกระบบ
ผลผลิตมะม่วงอ้ายเหวินที่ผิงตงลดลงเหลือเพียง 30% ราคามะม่วงแชมป์พุ่งทะลุกล่องละ 3,000 เหรียญ
ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมาทางเมืองผิงตงได้ประกาศผลการประกวดมะม่วงสายพันธุ์อ้ายเหวิน มะม่วงสายพันธุ์ที่อร่อยที่สุดและได้รับความนิยมสูงสุดในไต้หวัน โดยในช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวมะม่วงที่ให้ผลผลิตเยอะที่สุดของปี ทั้งนี้เมืองผิงตงถือเป็นแหล่งปลูกมะม่วงอ้ายเหวินที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน รองจากนคะไถหนาน โดยผู้ชนะที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้คือ คุณฟาง กว้านเหวิน ส่วนรองชนะเลิศคือ คุณหลู ว่างเซิง
ทั้งนี้ทางผู้จัดการประกวดเปิดเผยว่ามะม่วงที่ใช้ในการแข่งขันปีนี้ได้มายากเป็นอย่างมาก โดยเกษตรกรประเมินว่าหากเทียบกับปีที่ผ่านมาผลผลิตตลอดทั้งปีอาจจะลดลงเหลือเพียง 30% เท่านั้น เนื่องมาจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวมะม่วงในขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพายุเมื่อปีที่แล้วและอากาศหนาวในปีนี้ ส่งผลให้ต้นมะม่วงออกผลน้อยลงมาก
กรมการเกษตรเมืองผิงตงระบุว่ามะม่วงอ้ายเหวินถือเป็นผลไม้ฤดูร้อนสำคัญของพื้นที่ หากมีสภาพภูมิอากาศและดินที่เหมาะสมจะทำให้ได้ผลผลิตที่หอมหวาน เนื้อแน่นมีความหนึบเป็นพิเศษ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลไม้ส่งออกหลักของไต้หวัน สำหรับพื้นที่เพาะปลูกในผิงตงมีประมาณ 26,084 ไร่ ถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่อันดับสองของไต้หวัน ครอบคลุมหลายตำบล เช่น ฝางเหลียว ฝางซัน ซื่อจื่อ และชุนรื่อ โดยจะให้ผลผลิตรวมปีละ 55,536 ตัน
นายกเทศมนตรีเมืองผิงตง โจว ชุนหมี่ กล่าวในพิธีมอบรางวัลว่า แม้ว่าเมื่อปีที่แล้วภาคเกษตรจะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ แต่เกษตรกรผิงตงได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและคุณภาพที่มั่นคง มะม่วงจากผิงตงยังคงเป็นผลไม้ส่งออกหลัก โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น ทั้งนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนสนับสนุนผลผลิตท้องถิ่นในช่วงฤดูกาลนี้
ภัยหนาวกระทบหนัก! น้อยหน่า และ มะม่วง ผลผลิตลดลง อ้ายเหวินพุ่งทะลุ 100 เหรียญต่อชั่ง
พื้นที่เพาะปลูก น้อยหน่าในเขตกุ้ยเหริน นครไถหนาน ที่มีมากกว่า 375 ไร่ ถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของไต้หวัน แต่เนื่องจากในเดือนมีนาคมปี 2025 ที่ผ่านมานี้ ยังคงมีคลื่นความเย็นพัดเข้ามา ส่งผลให้ต้นน้อยหน่าที่ควรจะออกลูกเต็มต้นกลับโล่งเตียนผลผลิตลดลงอย่างน้อย 50% ถือเป็นความเสียหายครั้งใหญ่
ตามปกติแล้วช่วงนี้ของปีสวนน้อยหน่าในเขตกุ้ยเหริน ควรจะมีลูกน้อยหน่าขนาดเท่ากำปั้นเต็มต้น และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม แต่ปีนี้กลับไม่มีผลผลิต คุณสวี่ จิ้นเต๋อ เกษตรกรผู้ปลูกน้อยหน่าในกุ้ยเหรินกล่าวว่า "ช่วงเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีคลื่นความเย็น อากาศหนาวมาก พอตอนนี้ถึงฤดูติดผล กลับไม่มีดอกเลย ซึ่งรุนแรงมากถึงขั้นที่ว่าต้นน้อยหน่าเหล่านี้ไม่สามารถอยู่รอดได้"
ทางด้านอำเภออวี่จิ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการเพาะปลูกมะม่วง ก็ประสบปัญหาได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะมะม่วงพันธุ์อ้ายเหวิน ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทะลุ 100 เหรียญไต้หวันต่อชั่ง(台斤) มะม่วงพันธุ์อื่น เช่น จินหวง และอวี่เหวิน ราคาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และเนื่องจากต้นทุนการรับซื้อมะม่วงในปีนี้มีราคาสูงที่สุดในรอบหลายปี ทำให้ผู้ประกอบการร้านไอศกรีมมะม่วงจึงจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาตามไปด้วย
คุณเซี่ย เจ้าของร้านขายมะม่วงกล่าวว่า "มะม่วงจินหวงคุณภาพดีหน่อยตอนนี้ราคาขั้นต่ำในตลาดก็อยู่ที่ 85 เหรียญขึ้นไป จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 25 เหรียญ แต่เพราะปีนี้ผลผลิตน้อยเนื่องจากปัญหาสภาพอากาศ"
นอกจากนี้ถนนสายที่มีร้าน “น้ำแข็งไสเกล็ดหิมะมะม่วง” ที่มีชื่อเสียงของอวี่จิ่งต่างก็ทยอยปรับราคาขึ้นเพื่อตอบรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น คุณเจี้ยน เจ้าของร้านน้ำแข็งไสมะม่วง กล่าวว่า "ทางร้านได้ขึ้นราคาเป็นการชั่วคราว 30 เหรียญ โดยต้องรอราคามะม่วงเริ่มทรงตัว ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะปรับราคาขึ้นเท่าไหร่ เพราะมะม่วงแพงมาก แพงสุดในรอบกว่า 30 ปีตั้งแต่เปิดร้านมา เมื่อวานเพิ่งไปรับมะม่วงอ้ายเหวินมา ราคาต่ำสุดยังอยู่ที่ 120 เหรียญ" คุณจวง ผู้ประกอบการอีกท่านกล่าวว่า "มะม่วงแพงกว่าปีที่แล้วเกือบเท่าตัวเลย ตอนนี้น้ำแข็งไสมะม่วงหนึ่งถ้วยเราต้องปรับราคาขึ้นประมาณ 20 เหรียญ"
ทั้งนี้กองการเกษตรของเทศบาลนครไถหนาน ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่กุ้ยเหรินเพื่อตรวจสอบความเสียหาย พร้อมแนะนำให้เกษตรกรรายงานข้อมูลภัยพิบัติต่อสำนักงานเขต เพื่อประเมินพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านภัยพิบัติแล้ว