ไต้หวันปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด เพิ่มการนำเข้า LNG 

    หลังการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หมายเลข 3 ซึ่งใช้งานมานาน 40 ปี ไต้หวันได้ยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติไต้หวัน (CPC) ต้องเร่งจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพิ่ม โดยในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายนนี้ มีการจอง LNG ไว้แล้ว 3 เที่ยว และอีก 1 เที่ยวสำหรับมิถุนายน–กรกฎาคม

     รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ค่าเฉลี่ยการนำเข้า LNG ราย 30 วันของไต้หวันสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

    นักวิเคราะห์จากบริษัท Rystad Energy นาย Aniket Autade เตือนว่า การพึ่งพา LNG มากขึ้น จะทำให้ไต้หวันเสี่ยงต่อราคาก๊าซที่ผันผวน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องการพลังงานเสถียร เพราะไฟดับเพียงไม่กี่วินาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล

 ดอกเบี้ยบ้านพุ่ง การอนุมัติสินเชื่อต่ำสุดในรอบ 20 ไตรมาส

    ศูนย์ข้อมูลเครดิตกลาง ได้เผยแพร่สถิติการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งพบว่า ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อรอบที่ 7 ของธนาคารกลาง ทำให้ในไตรมาสนี้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของสินเชื่อบ้านพุ่งสูงถึง 2.36% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี

    นอกจากนี้ สัดส่วนการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ (Loan-to-value ratio) ก็ลดต่ำลง ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 20 ไตรมาส โดย เฉลี่ยไม่ถึง 80% หรือประมาณ 70% กว่า ๆ ขณะเดียวกัน วงเงินกู้เฉลี่ยก็ลดลงต่ำกว่าระดับ 10 ล้านเหรียญไต้หวันแล้ว ส่งผลให้ผู้ซื้อบ้านจำเป็นต้องเตรียมเงินดาวน์เพิ่มขึ้น ผู้ซื้อบ้านบางรายกว่าว่า ขณะนี้ไม่เพียงแต่ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่สูงขึ้น แต่ วงเงินอนุมัติจากธนาคารก็ลดลงเช่นกัน นายเอี๋ยนซึ่งเป็นผู้ถือครองอสังหาหลายแห่ง กล่าวว่า แม้ตนเองไม่ใช่ผู้ซื้อบ้านรายแรกแต่เมื่อซื้อคอนโดฯ ที่มีขนาดประมาณ 20 พิง (ราว 66 ตร.ม.) ราคาใกล้ 20 ล้านเหรียญไต้หวัน ก็ยังคาดหวังว่าจะกู้ได้ 50–60% แต่สุดท้ายกลับได้รับอนุมัติเพียงไม่ถึง 50% ทำให้ต้องรีบหาเงินสดสำรองเพิ่มเติมแบบเร่งด่วน 

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ผู้ซื้อบ้านเพิ่มเงื่อนไขยกเลิกสัญญา หากกู้ไม่ผ่าน เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง และเรียกร้องให้รัฐแยกกลุ่มผู้กู้ เช่น “รายแรก”, “เปลี่ยนบ้าน”, “ถือหลายหลัง” เพื่อให้มาตรการควบคุมเหมาะสมและไม่กระทบผู้บริโภคทั่วไป

ไต้หวันเพิ่มวันหยุดราชการ 5 วัน เริ่มใช้ปี 2025 เสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน – ภาคธุรกิจเร่งปรับตัวรับผลกระทบ

     เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2025 สภานิติบัญญัติแห่งชาติไต้หวันได้ผ่านร่างกฎหมายกำหนดวันหยุดราชการและวันสำคัญฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันทีในปีงบประมาณ 2025 โดยมีสาระสำคัญคือ เพิ่มวันหยุดราชการแห่งชาติอีก 5 วัน ได้แก่: วันครู (28 กันยายน), วันอิสรภาพ (25 ตุลาคม), วันรัฐธรรมนูญ (25 ธันวาคม), วันก่อนตรุษจีน (เสี่ยวเหนียนเย่), วันแรงงาน (1 พฤษภาคม) – จากเดิมที่หยุดเฉพาะกลุ่มแรงงาน ปรับเป็นวันหยุดประจำชาติสำหรับทุกคน

แม้พนักงานส่วนใหญ่จะยินดี แต่หลายภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคบริการ ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงนี้

104 Job Bank ชี้ว่า การเพิ่มวันหยุดส่งผลต่อธุรกิจใน 4 ด้านหลัก:

① ต้องวางแผนกำลังคนล่วงหน้า โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร และค้าปลีกที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงานในช่วงหยุดยาว

② ต้องปรับระบบกะและการคิดค่าล่วงเวลาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย และรองรับวันหยุดที่เพิ่มขึ้น เช่นเดือนตุลาคมปีนี้จะมีวันหยุดรวมถึง 11 วัน

③ ต้องจัดลำดับงานใหม่และใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อให้พนักงานได้หยุดพักอย่างแท้จริง ไม่ใช่หยุดแต่ยังต้องแบกงานกลับบ้าน

④ สวัสดิการวันหยุดที่เคยเหนือกฎหมายอาจลดความน่าสนใจ ส่งผลให้บริษัทต้องหาวิธีเสริมความได้เปรียบ เช่น เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานไต้หวันระบุว่า คนไต้หวันมีชั่วโมงทำงานเฉลี่ยสูงถึง 2,020 ชั่วโมงต่อปี สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย

การเพิ่มวันหยุดราชการครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มที่ไต้หวันพยายามปรับสมดุลชีวิตและการทำงาน (work-life balance) แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นโจทย์ใหญ่ของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาประสิทธิภาพและความยั่งยืนในระยะยาว

COMPUTEX 2025 ทำลายสถิติ! ผู้เข้าร่วมทะลุ 8.6 หมื่นรายทั่วโลก หนุนบทบาทไต้หวันศูนย์กลางเทคโนโลยีโลก

     งานแสดงเทคโนโลยีระดับโลก COMPUTEX Taipei 2025 ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 86,521 รายจาก 152 ประเทศ ทุบสถิติสูงสุดตั้งแต่เคยจัดงานมา ย้ำบทบาทของ ไต้หวันในฐานะแพลตฟอร์มนานาชาติด้านเทคโนโลยี

     งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 พฤษภาคม โดยมีผู้นำวงการไอทีอย่าง Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ขึ้นเวทีในหัวข้อ “AI Next” ซึ่งเป็นธีมหลักของปีนี้ พร้อมดึงดูดผู้ผลิตชั้นนำและนักลงทุนทั่วโลก เข้าร่วมสร้างโอกาสทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน

     ปีนี้ยังมีการจัดโซน InnoVEX สำหรับสตาร์ทอัพ ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 12.5% จากปีก่อน โดยมีบริษัทเข้าร่วมถึง 450 แห่งจาก 24 ประเทศ ไทยและฟิลิปปินส์ร่วมตั้งพาวิลเลียนระดับประเทศเป็นครั้งแรก สะท้อนศักยภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

     นวัตกรรมที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ หุ่นยนต์สุนัขจำลองและแว่น VR จาก Pegatron โซนกอล์ฟ AI ของ AUO ที่วิเคราะห์วงสวิงแบบเรียลไทม์ หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและแพลตฟอร์ม AIoT จาก Advantech และ Solomon และโซน Smart Mobility จากสมาคม TADA ซึ่งร่วมกับ 19 แบรนด์ชั้นนำ แสดงโซลูชันรถยนต์อัจฉริยะและระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า

     นอกจากนี้ บริษัท Shen Rui AI จากไต้หวัน ยังคว้ารางวัลชนะเลิศสตาร์ทอัพยอดเยี่ยม ด้วยนวัตกรรม AI วิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ สำหรับคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้นและคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่า AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง

     งาน COMPUTEX ปีนี้ไม่เพียงเป็นเวทีโชว์เทคโนโลยี แต่ยังตอกย้ำว่าไต้หวันคือศูนย์กลางสำคัญในอนาคตของโลกดิจิทัล

ผู้นำไต้หวันย้ำไต้หวันก้าวสู่การเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา AI ระดับโลก

         เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ไต้หวันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Global Semiconducter Supply Chain Partnership Forum หรือการประชุมว่าด้วยหุ้นส่วนห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมคอมพิวเท็กซ์ ไทเป ปีนี้ โดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้กล่าวเปิดการประชุมระบุว่า อุตสาหกรรมการผลิตของไต้หวันต้องเชื่อมต่อเข้ากับอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จึงจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไต้หวันยินดีที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อแห่งการพัฒนาเทคโนโลยี AI ของโลก และย้ำว่า รัฐบาลจะจับมือกับภาคเอกชนผลักดันการแก้ไขกฎหมาย การลดหย่อนภาษี และนโยบายด้านการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI และจะผลักดันการจัดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ อย่างกระตือรือร้น เพื่อใช้สำหรับการวิจัยค้นคว้าพัฒนาของหน่วยงานด้านวิชาการและผู้ประกอบการ ซึ่งหวังว่าการร่วมมือนี้จะสร้างอนาคตอันโชติช่วงชัชวาลย์มากยิ่งขึ้นให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลาน

         การประชุมในครั้งนี้จัดให้มีขึ้นระหว่างงานมหกรรมคอมพิวเท็กซ์ ไทเป ประจำปีนี้ โดยผู้นำไต้หวันระบุว่า มหกรรมคอมพิวเท็กซ์ในปีนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีบริษัทห้างร้านต่าง ๆ กว่า 1400 บริษัทจาก 30 ประเทศเข้าร่วม มีบูธจัดแสดงมากกว่า 4,800 บูธ จัดแสดงสินค้าที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสมาคมผู้ประกอบการคอมพิวเตอร์ไทเประบุว่า มหกรรมคอมพิวเท็กซ์ปีนี้มีผู้สนใจจากต่างประเทศเข้าร่วมมากกว่า 5 หมื่นคน

        นอกจากนี้ ผู้นำไต้หวันได้แสดงความชื่นชมที่ยักษ์ใหญ่ AI อย่าง NVIDIA จับมือกับสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติไต้หวัน TSMC และฟอกซ์คอน์น สร้างศูนย์ AI ขึ้นในไต้หวัน ที่นอกจากภาครัฐและภาคเอกชนกำลังเร่งดำเนินการแล้ว ยังเร่งพัฒนาสร้างศูนย์วิจัยพัฒนา AI ทั้งภาคเหนือ และภาคกลางทั่วไต้หวัน ระดมทุกภาคส่วนร่วมกันวิจัยค้นคว้าพัฒนาเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและนำมาประยุติใช้ในชีวิตประจำวันด้วย

  NVIDIA พร้อมจับมือไต้หวันดัน AI สู่ทั่วโลก

             นายเจนเซ็น หวง หรือนายหวงเหยินซวิน ประธาน NVIDIA ยักษ์ใหญ่ AI ระดับโลก ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการเยือนไต้หวันเป็นเวลา 8 วัน และได้เข้าร่วมงานมหกรรมคอมพิวเท็กซ์ ไทเป ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนไต้หวันว่า “ตนจะกลับมาอีก” ปี 2025 จะเป็นปีแห่ง AI ที่นำมาซึ่งความตื่นเต้นให้แก่ผู้คน ไต้หวันจะจับมือกับ NVIDIA นำพา AI ก้าวสู่ทั่วโลก และยังได้แจ้งล่วงหน้าว่า ตรุษจีนปีหน้าเขาจะกลับมาไต้หวันอีกครั้ง

            นายเจนเซ็นหวง ระบุก่อนเสร็จสิ้นการเยือนไต้หวันเป็นเวลา 8 วันว่า ไต้หวันมีความคิดดี ๆ หลาย ๆ อย่าง แต่กำลังคนไม่เพียงพอ ตอนนี้มี AI และหุ่นยนต์แล้ว ทำให้ไต้หวันสามารถขยายโอกาสได้อีกมาก ปีนี้จะเป็นปีที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้น แผ่นชิป Blackwell ของ NVDIA เป็นการออกแบบสำหรับ AI โดยเฉพาะ และรู้สึกตื่นเต้นที่มีการผลิตแผ่นชิปนี้เพิ่มขึ้นในไต้หวัน คู่ค้าของ NVDIA ทั้งหมดได้เร่งและเพิ่มการผลิต ไต้หวันจะจับมือกับ NVIDIA นำ AI สู่ทั่วโลก

เจนเซ่น หวง ประธาน NVDIA

โอกาสครบรอบ 1 ปี การดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวัน มุ่ง "ปักรากในไต้หวันกระจายการลงทุนไปทั่วโลก ขยายตลาดสู่ต่างประเทศทั่วโลก" 

       ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ซึ่งกำลังจะดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันครบรอบ 1 ปี ในวันที่ 20 พ.ค. ศกนี้ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น นิคเคอิ ชิมบุน ในประเด็นเกี่ยวกับทางด้านเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย ผู้นำไต้หวันย้ำว่า แผนยุทธศาสตร์ภาคการผลิตของไต้หวันก็คือ “ปักรากไต้หวัน วางรากฐานไปทั่วโลก ส่งออกสู่ทั่วโลก”สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าไต้หวันอีก 32% ซึ่งเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง แต่ไต้หวันก็พร้อมที่จะเผชิญหน้าด้วยความจริงจัง และหาโอกาสจากความท้าทายที่แบอยู่เบื้องหน้า เพื่อให้แผนการพัฒนาภาคการผลิตแห่งชาติของไต้หวันมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

        ในส่วนของแผนการทางการค้าของไต้หวันนั้น ผู้นำไต้หวันได้ระบุว่า ในปี 2010 ไต้หวันมีการลงทุนในต่างประเทศซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 83.8% ลงทุนในจีน แต่เมื่อปีที่แล้วเหลือเพียง 7.5% การส่งออกไปจีนก็มีสัดส่วนลดลงเป็นอย่างมาก 43.9% ในปี 2020 เหลือ 31.7% ในปีที่แล้ว ซึ่งไต้หวันได้วางแผนการให้ความช่วยเหลือเพื่อโยกย้ายการลงทุนไปญี่ปุ่น อาเซียน ยุโรปและสหรัฐฯ ส่งผลให้การลงทุนในต่างประเทศของไต้หวันมากที่สุดเป็นการลงทุนในสหรัฐฯ 40% อย่างไรก็ดี สินค้าไต้หวันส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 23.4% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 76.6% เป็นการส่งออกไปยังตลาดนอกสหรัฐฯ

        ผู้นำไต้หวันย้ำว่า ไต้หวันไม่ต้องการที่จะ “เอาไข่ไก่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน” ต้องกระจายตลาดออกไป ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ไต้หวันจึงต้องการที่จะจับมือกับญี่ปุ่น ในสถานการณ์ปัจจุบัน อินโดแปซิฟิกและประชาคมโลกต้องการการนำพาของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงบทบาทให้ CPTPP มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงใคร่ขอให้ญี่ปุ่นสนับสนุนไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรทางเศรษฐกิจดังกล่าว 

         นอกจากนี้ ผู้นำไต้หวันยังระบุว่า หวังว่าญี่ปุ่นกับไต้หวันจะจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับไต้หวันหรือEPA เพื่อให้การค้าและเศรษฐกิจระหว่างกันใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น การลงทุนก็จะมากขึ้นด้วย ไต้หวันก็ปรารถนาที่จะกระชับสัมพัธ์กับสหภาพยุโรปและภูมิภาคอื่น ๆ ปัจจุบันยังได้เสนอแผน “หุ้นส่วนห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ประชาธิปไตยทั่วโลก”อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นระบบนิเวศห่วงโซ่อย่างหนึ่ง เสมือนหนึ่งว่าญี่ปุ่นมีวัตถุดิบ อุปกรณ์ เทคโนโลยี ส่วนสหรัฐฯ มีการออกแบบ IC การตลาด ส่วนไต้หวันมีอุตสาหกรรมการผลิต เนเธอร์แลนด์มีความเชี่่ยวชาญทางด้านเครื่องจักรกล ดังนั้นจึงต้องอาศัยความสามารถในการผลิตของไต้หวัน ประกอบกันขึ้นมาเป็นห่วงโซ่อุปทาน “ไร้แดง” หรือห่วงโซ่ที่ปราศจากจีน เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่การพัฒนาให้โลกนี้มีความเจริญรุ่งเรือง โชติช่วงชัชวาลย์ได้มากยิ่งขึ้น และเป็นหลักประกันให้การค้าเสรีสามารถดำเนินต่อไปได้ ไม่ถูกการทุ่มตลาดเข้าบ่อนทำลายสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้แก่ความก้าวหน้าความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 

          สำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์สำคัญหลายประการในการดำเนินนโยบายภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งประธานาธิบดีไล่ฯ ได้สรุปให้ฟังว่า ประการแรก คือต้องการแก้ปัญหาทางด้านการคลังของสหรัฐฯ ปัญหาแรกก็คือ GDP ปีละประมาณ 29 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ  แต่มีหนี้สาธารณะถึง 36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นถึง 124% ของ GDP ในขณะที่งบรายจ่ายเกิน 6.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ งบรายรับเพียง 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขาดดุลงบประมาณปีละเกินกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 7% ของ GDP ประการต่อมาก็คือ ในแต่ละปีสหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่างบประมาณกลาโหมต่อปีที่มีประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 3% ของ GDP และยังต้องการให้ชาวอเมริกัน 85% ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้ด้วย ซึ่งต้องใช้งบประมาณอย่างน้อย 5 แสนล้าน - 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ฯ ต้องการแก้ปัญหาสถานะทางการคลังของตนเป็นอันดับแรก 

          ส่วนประการที่ 2 สหรัฐฯ กำลังถูกคุกคามจากจีน เห็นว่ามีความจำเป็นต้องปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกครั้ง หากไม่สามารถปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกครั้งได้ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ล้าหลังกว่าของจีน ส่วนประการที่ 3 ก็คือในยุคอัจฉริยะทั่วโลก ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการนำพาให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางอัจฉริยะของโลก ประการที่ 4 เขาต้องการสร้างหลักประกันให้แก่สันติภาพของโลก ไม่ต้องการให้เกิดสงครามขึ้นอีก ผู้นำไต้หวันเห็นว่า ความต้องการของผู้นำสหรัฐฯ มีอยู่ 4 ประการดังกล่าว จึงต้องเพิ่มกำแพงภาษี ให้คู่ค้าของตนซื้อสินค้าสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ลงทุนในสหรัฐฯ ให้มากขึ้น เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายเหล่านี้ 

ปธน. ไล่ชองเต๋อ ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น นิคเคอิ ชิมบุน

ยอดรายได้จากภาษีเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ลดลงทั้ง 3 รายการ

           กระทรวงการคลังไต้หวัน ได้ประกาศข้อมูลสถิติเกี่ยวกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีในช่วงเดือน เม.ย. ที่ผานมา รวม 1.541 แสนล้านเหรียญไต้หวัน ลดลง 3.1% ต่อปี เหตุสำคัญเนื่องจากพลวัตรของตลาดหุ้นไทเปอยู่ในสภาพอ่อนปวกเปียก รายได้จากภาษีการซื้อขายหุ้นลดลง รวมไปถึงภาษีที่ดินและภาษีโรงเรือนก็ลดลงด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มของที่ดิน ภาษีอากรที่ลดลงด้วย ส่งผลให้ยอดรวมภาษีที่จัดเก็บได้ในช่วง 4 เดือนแรก จัดเก็บได้สุทธิ 7.080 แสนล้าน ลดลงต่อปี 1.2% อยู่ในสภาพที่ปรับตัวลดลง 

เริ่มแผลงฤทธิ์แล้ว? 19 บริษัทในไต้หวันรเริ่มให้พนักงานหยุดงานโดยไม่มีค่าจ้าง แต่ลดลงทั้งจำนวนบริษัทและจำนวนคน 

           กระทรวงแรงงานไต้หวันได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการลดกะงานและเวลาพักผ่อน เนื่องจากปัญหาภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความแน่นอนใด ๆ ทำให้มี 16 บริษัท พนักงาน 400 คน รวมเป็น 19 บริษัท รวมจำนวน 600 คน ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานไต้หวันเห็นว่า สถานการณ์โดยรวมในตอนนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งจำนวนพนักงานและบริษัทที่ใช้มาตรการดังกล่าวมีจำนวนลดลง กระทรวงแรงงานเห็นว่า ในปัจจุบันตลาดแรงงานในไต้หวันยังคงมีเสถียรภาพพอสมควร

ผู้นำไต้หวันลั่นพัฒนาอุตสาหกรรมแพทย์ชีวภาพสู่ “เขาศักดิ์สิทธิ์ปกป้องประเทศชาติ” ลูกใหม่ 

         เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวันได้กล่าวในการประชุมประจำปี 2025 นโยบายชีวภาพ ระบุว่า เมื่อก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย การพัฒนาให้สังคมไต้หวันเป็นสังคมเพื่อสุขภาพเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ไต้หวันมีผลงานโดดเด่นทั้งทางด้านการป้องกันรักษามะเร็ง สุขภาพจิต และการแพทย์อัจฉริยะ ผู้นำไต้หวันย้ำว่า ขอแต่เพียงให้พยายามร่วมกัน แก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ ผ่อนปรนกฎระเบียบเกี่ยวกับการระดมทุน ลดข้อจำกัดในการลงทุน คลัสเตอร์นิคมวิทยาศาสตร์ไบโอเทคที่สมบูรณ์แบบ เสริมการอบรมบ่มเพาะบุคลากร และสถานที่ในการจัดตั้งศูนย์ทดลอง เชื่อว่าอุตสาหกรรรมแพทย์ชีวภาพของไต้หวัน นอกจากจะปักรากฝังลึกในไต้หวัน กระจายสู่ทั่วโลก แล้ว ยังจะกลายเป็น “ขุนเขาปกป้องประเทศชาติ” ของไต้หวันอีกลูหนึ่งอย่างแน่นอน 

         ผู้นำไต้หวันพร้อมด้วยนายชิวไท่หยวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไต้หวัน และนายกัวจื้อฮุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ ไต้หวันเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งผู้นำไต้หวันได้กล่าวย้ำว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สมาคมนโยบายชีวภาพไต้หวันได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาคเอกชนกับรัฐบาลอย่างกระตือรือร้นและจริงจัง รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มในการบูรณาการการแพทยื เทคโนโลยี และชีวภาพ ประสานสอดรับเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งมีความหมายเป็นอย่างยิ่งการต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแพทย์ไบโอเทคของไต้หวัน 

       ผู้นำไต้หวันระบุว่า ไต้หวันก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัวแล้ว การดูแลรักษาพยาบาลแก่ประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วนมากยิ่งขึ้นทุกขณะ การดูแลสุขภาพในไต้หวัน ให้ประชาชนมีอายุยืนยาว มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงได้อย่างไร เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของรัฐบาล และก็ภารกิจที่สำคัญของตนในฐานะประธานาธิบดี ส่วนในช่วงปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความพยายามร่วมกันของทุกฝ่าย ผลักดันนโยบายด้านสุขภาพในทุกมิติในไต้หวันให้ก้าวรุดหน้าไปข้าหน้า จนประสบความสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว

       ผู้นำไต้หวันย้ำว่า การพัฒนาการแพทย์อัจฉริยะในปัจจุบัน ไได้ประสมประสานกับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไต้หวัน ผลักดัน ให้อุตสาหกรรมการแพทย์ชีวภาพเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าหลักล้านล้านของไต้หวันในอนาคต โดยได้รวมเอาแผนการขยายการลงทุนด้านการแพทย์ ตามแผนเรือธงไต้หวันเพื่อสุขภาพ อย่างเช่นการตรวจยีนส์ NGS ตามโครงการป้องกันและการรักษามะเร็ง อาศัยการวิจัยพัฒนาทั้งระบบเพื่อให้อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์การแพทย์มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้อาศัยการเก็บรวบรวมตัวเลขชีวภาพ (Bio Data)หรือ เพื่อส่งเสริมให้การแพทย์มีความแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งทำให้อุตสาหกรรมชีวภาพของไต้หวัน 

ไต้หวันพร้อมยื่นมือช่วยนักลงทุนไต้หวันในต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ 

        นางสวีเจียชิง ประธานคณะกรรมการกิจการโพ้นทะเล ไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ตอบกระทู้ของ สส. ในสภานิติบัญญัติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นักธุรกิจชาวไต้หวันนอกจากจะมีการลงทุนในประเทศที่ตนพำนักแล้ว ยังมีการลงทุนในประเทศที่ 3 เป็นจำนวนไม่น้อยด้วย ด้วยเหตุนี้จึงได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ซึ่งทางคณะกรรมการกิจการโพ้นทะเลได้ประสานไปยังสมาคมนักธุรกิจไต้หวันในประเทศต่าง ๆ โดยจะมีการระดมทรัพยากรจากทุก ๆ ฝ่าย เพื่อให้บริการนักธุรกิจไต้หวันในต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ 

นางสวีเจียชิง ประธานคณะกรรมการกิจการโพ้นทะเล ไต้หวัน

ธนาคารกลางไต้หวันตรวจพบเงินนอกไหลเข้าโดยไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์ใด ๆ 

        ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ค่าเงินเหรียญไต้หวันแข็งค่าขึ้นอย่างฮวบฮาบและติดต่อกันหลายวันอย่างต่อเนื่อง ทะลุเพดาน 30 เหรียญไต้หวันต่อดอลลาร์สหรัฐ สร้างความวุ่นวายในตลาดเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งธนาคารกลางไต้หวันต้องออกมาแสดงจุดยืนและประกาศว่า พบความผิดปกติและร่องรอยของ “อีแร้ง” ปั่นค่าเงินในตลาด แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางไต้หวันได้เร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินทุนที่ทะลักเข้ามายังไต้หวันว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ซึ่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางไต้หวันได้ประกาศผลการสอบสวนยืนยันว่า พบร่องรอยแก๊งปั่นค่าเงินในนามของบริษัทและบุคคลต่างชาติโอนเงินเข้าซื้อเงินเหรียญไต้หวัน ซึ่งไม่พบว่ามีการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการใดที่แน่ชัด 

        นายหยางจินหลง ผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวันได้ตอบกระทู้ถามของ ส.ส. ในสภานิติบัญญัติไต้หวันว่า จะต้องเก็บรับประสบการณ์ที่ผ่านมา สะเก็ดไฟที่เกิดขึ้นต้องรีบดับให้มอด จึงเริ่มการตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา

รัฐบาลไต้หวันเร่งสปีดรับมือผลกระทบนโยบายภาษีของทรัมป์ฯ เสนองบพิเศษ 4.1 แสนล้าน 

        เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมตรีจั๋วหยงไท่ ไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ระบุว่า ครม. ได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณพิเศษรับมือผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เพิ่มเติมจากเดิม 8.8 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน เป็น 4.1 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน โดยจะแบ่งเป็นเงินช่วยเหลือภาคการผลิต เสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดที่มีความหลากหลายมากขึ้น และการสนับสนุนความมั่นคงในการทำงานของพนักงานลูกจ้างรวม 7 หมื่นล้าน สนับสนุนภาคการเกษตร 1.8 หมื่นล้าน ซึ่งเคยประกาศไปก่อนหน้านี้ คราวนี้ได้เพิ่มเติมงบประมาณอุดหนุนการไฟฟ้าไต้หวัน 1 แสนล้าน เงินสนับสนุนด้านการป้องกันประเทศ 1.5 แสนล้าน  ช่วยเหลือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เครื่องจักรกลภาคการผลิต 5 พันล้าน เสริมศักยภาพการป้องกันชายฝั่ง การฝึกอบรมเทคนิคการบังคับโดรน 1.5 แสนล้าน อุดหนุนการไฟฟ้าไต้หวัน ประกันสุขภาพ ประกันภัยแรงงาน กลุ่มเปราะบาง บ่มเพาะบุคลากรระดับสูง รวมทั้งสิ้น 1.67 แสนล้าน ซึ่งพรรคฝ่ายค้านได้โจมตีว่างบพิเศษดังกล่าวกว่าร้อยละ 60 ไม่เกี่ยวกับเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ

         อย่างไรก็ดี  นายกรัฐมนตรีจั๋วหยงไท่ ่ชี้แจงว่า ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศรวมทั้งญี่ปุ่น ต่างเสนอแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของตน ซึ่งนโยบายของรัฐบาลก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับของหลายประเทศ โดยรวมถึงส่วนที่เป็นนโยบายด้านการเงินหรือสินเชื่อจำนวนถึง 9.3 หมื่นล้าน ให้แก่ภาคการผลิต ลดต้นทุนด้านการบริหารให้ต่ำลง เสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้เข้มข้นยิ่งขึ้น การขยายตลาดให้มีความหลากหลายมากขึ้น สิทธิพิเศษด้านภาษี และการรักษาเสถียรภาพในการมีงานทำของผู้ใช้แรงงาน รวมไปถึงการทุ่มงบประมาณ 2 หมื่นล้านเพื่อดึงดูดบุคลากรจากต่างประเทศเข้ามาเสริมทัพหรือให้ทำงานต่อในไต้หวัน ตลอดจนการร่วมมือระหว่างภาควิชาการกับภาคการผลิต 

        คณะทำงานของพรรคฝ่ายค้านในสภาฯ ได้แสดงความวิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า งบอุดหนุนการไฟฟ้าไต้หวัน 1 แสนล้านที่สภาฯ ได้ตัดทอนไป เนื่องจากรัฐบาลมิได้มีการทบทวนความผิดพลาดของนโยบายพลังงานของตน ประกอบกับในช่วงปีงบประมาณ 20225 -2024 สภาฯ ได้อนุมัติงบประมาณอุดหนุนการไฟฟ้าไต้หวันไปแล้วรวมถึง 3 แสนล้าน ซึ่งในเวลาต่อมา การไฟฟ้าไต้หวันยังได้ขึ้นค่าไฟฟ้าถึง 4 ครั้ง หากรัฐบาลยังไม่มีการพิจารณาปรับโครงสร้างพลังงานใหม่ การให้เงินอุดหนุนแก่การไฟฟ้าไต้หวันก็จะไม่มีวันจบสิ้น เป็นเรื่องที่พรรคKMT วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

       ส่วนนายจางฉีไข่ รองหัวหน้าคณะทำงานในสภาฯ ของพรรค ＴＰＰ　พรรคฝ่ายค้านอีกพรรคหนึ่งก็ได้แสดงความสงสัยต่อกฎหมายงบประมาณพิเศษนี้ว่า เสมือนการจัดทำงบประมาณเกินจริง และสับขาหลอก ไม่ว่าจะเป็นงบอุดหนุนการไฟฟ้าไต้หวันแสนล้านหรืองบสนับสนุนภาคการผลิต 9.3 หมื่นล้าน เป็นไปตามกฎหมายระเบียบวินัยทางการเงินการคลังหรือไม่ อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า พรรค ＴＰＰ　สนับสนุนว่า งบประมาณที่จะช่วยเหลือภาคการผลิตแค่ 9.3 หมื่นล้านไม่เพียงพอ 

       ส่วนนายกัวจื้ฮุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการไต้หวันได้ระบุว่า หากสามารถสร้างความมั่นคงให้แก่การไฟฟ้าไต้หวัน จะทำให้ค่าไฟฟ้าอยู่ในสภาพที่มีเสถียรภาพ เสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรมในประเทศด้วย 

      นายกัวฯ ระบุอีกว่า หากการไฟฟ้าไต้หวันได้รับเงินอุดหนุน 1 แสนล้าน ก็จะทำให้ ภาคการผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น และสามารถผ่านพ้นวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ นโยบายการไม่ขึ้นค่าไฟฟ้าก็เป็นแนวทางที่การไฟฟ้าไต้หวันกำลังมุมานะพยายาม เมื่อการไฟฟ้าไต้หวันได้รับเงินอุดหนุนก้อนนี้ก็จะทำให้แรงกดดันที่ต้องปรับขึ้นค่าไฟฟ้าลดลง

สองแบงก์ใหญ่สั่งปิดสาขาไปแล้ว 10 แห่ง 

        คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงินไต้หวันเปิดเผยว่า จนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา มีธนาคารในไต้หวันปิดสาขาไปแล้ว 10 แห่ง โดยเป็นสาขาของธนาคาร ＤＢＳ　ทุนสิงคโปร์จำนวน6 แห่ง ธนาคารสหกรณ์ออมทรัพย์ 4 แห่ง อย่างไรก็ดี ธนาคารไชน่าทรัสต์ได้เปิดสาขาเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง ทำให้จนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ปีนี้ สาขาของสถาบันการเงินในไต้หวันมีจำนวนลดลงจากปลายปีที่แล้ว 9 แห่ง 

       นายโหวลี่หยาง รองอธิบดีกรมธนาคาร คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงินไต้หวันเปิดเผยว่า ธนาคารและสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีผลกำไรก่อนหักภาษีเฉลี่ย 3 ปี 9.98% ก็จะมีสิทธิยื่นขอเปิดสาขาเพิ่มในเดือน พ.ค. หรือ พ.ย. ของทุกปี ส่วนสถิติปีนี้จนถึงเดือน เม.ย. มีสาขาของสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 3370 สาขา แต่ก็ลดลงจากปี 2024 จำนวน 9 สาขา

ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. กระฉูดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 เหตุ AI มีความต้องการสูงเข้มข้น

         เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อัจฉริยะหรือ AI ค่อนข้างเข้มข้น กระทรวงเศรษฐการไต้หวันได้ประกาศตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมประจำเดือน มี.ค. ปีนี้ว่า มีการเติบโตขึ้นถึง 13.65% โดยภาคการผลิตเติบโตถึง 14.71% ทุบสถิติรายเดือนในช่วงที่ผ่านมาและเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 

         ดัชนีภาคอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. ของไต้หวันอยู่ที่ 106.1 เติบโตต่อปี 13.65% โดยในส่วนของภาคการผลิตอยู่ที่ 106.89 เติบโตต่อปี 14.71% สูงสุดในช่วงเดียวกันของทุกปีที่ผ่านมา และต่อเนื่อง 13 เดือน ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมสะสมในช่วง 3 เดือนแรกอยู่ที่ 98.3 เติบโตต่อปี 11.95% ส่วนภาคการผลิตอยู่ที่ 98.77 เพิ่มขึ้น 12.79% ต่อปี 

        นายหวงเว่ยเจี๋ย รองอธิบดีกรมสถิติ กระทรวงเศรษฐการไต้หวันระบุว่า ได้รับอานิสงส์จากความร้อนแรงของความต้องการอุปกรณ์เอไอ คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง และการบริการคลาวด์ ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมไอทีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมดั้งเดิมบางส่วนก็ได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันและความต้องการในตลาดที่หดตัวลงทำให้การผลิตลดลงบางส่วน หักลบกันแล้วก็ยังอยู่ในสภาพเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ตอนนี้เริ่มเห็นปรากฎการณ์การสั่งสินค้าเพิ่มเติมเพื่อสต๊อกสินค้ารับมือล่วงหน้าการจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ส่วนความต้องการอุปกรณ์เอไอที่เกี่ยวข้องยังคงไม่มีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงแต่อย่างใด 

รมว. แรงงานลั่น ปกป้องสิทธิประโยชน์ผู้ใช้แรงงานนับแสน ห้ามปลดก่อนเกิดเหตุผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ เด็ดขาด

           ผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบเท่าเทียมของผู้นำสหรัฐฯ แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งไต้หวันก็ได้รับผลกระทบด้วย แม้จะมีเวลาหายใจต่ออีก 90 วัน เพื่อเจรจากับสหรัฐฯ แต่วันเวลาก็ขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ 

          นายหงเซินฮั่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไต้หวันได้ประกาศผ่านการสัมภาษณ์พิเศษรายการออนไลน์รายการหนึ่งเตือนนายจ้างอย่าได้ปลดพนักงานโดยที่ยังไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เพื่อหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ซึ่งจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ รมว. หงฯ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานในไต้หวันนับแสน เนื่องจากภาคการผลิตของไต้หวันต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล อะไหล่รถยนต์ โลหะ และอุตสาหกรรมยาง พลาสติก ที่ส่วนใหญ่จะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม แต่รัฐบาลก็ได้เตรียมเม็ดเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการชะลอการปลดพนักงานหากจำเป็นจริง ๆ โดยเตรียมงบเยียวยาไว้แล้ว 1.5 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน จากกองทุนเพื่อความมั่นคงในการมีงานทำ ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้มีการปลดพนักงานโดยไม่จำเป็น หรือสั่งให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่มีค่าจ้าง ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับความเดือดร้อน

ผู้นำไต้หวันยืนยันไต้หวันเปิดเจรจากับสหรัฐฯ แล้วเป็นรุ่นแรก

        ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวันได้กล่าวยืนยันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า สหรัฐฯ ได้ประกาศให้ไต้หวันกับอิสราเอลเป็นรุ่นแรกที่จะได้เจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ของประเทศต่าง ๆ และได้มีการเปิดการเจรจากันไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น โดยได้มุ่งไปที่ประเด็นการขยายการลงทุนและการจัดซื้อจากสหรัฐฯ เพื่อลดการได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ เสริมความร่วมมือภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน และแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีศุลกากร 

        เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ฯ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการเปิดประชุมประจำปี 2025 โรตารีนานาชาติเขต 3523 ระบุว่า การประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อไต้หวันของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อไต้หวัน และกระทบต่อทั่วโลก ขอแต่เพียงให้ทุกฝ่ายสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีประชาชนทั่วประเทศรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะต้องสามารถผ่านพ้นไปได้โดยราบรื่น แน่นอนว่า เราไม่อาจประมาทได้ ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยความระมัดระวัง ก้าวไปด้วยความระมัดระวัง จึงจะสามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ 

         ผู้นำไต้หวันระบุอีกว่า ไต้หวันส่งออกปีละถึง 4 แสนกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ร้อยละ 23.4 ส่งออกไปสหรัฐฯ หมายความว่ามีถึงร้อยละ 76 ที่ส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ นอกสหรัฐฯ ดังนั้น เมื่อต้องเจอกับแรงกดดันจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ก็ไม่ควรวิตกกังวลมากนัก ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไต้หวันมีความยืดหยุ่นอยู่ในตัวอยู่แล้ว การขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าไต้หวันของสหรัฐฯ 32% ท่านนายกรัฐมนตรีจั๋วหยงไท่ ได้เตรียมจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบไว้แล้วถึง 8.8 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน นอกจากนี้ ยังได้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ รวมทั้งเสนอแผนรับมือ 5 ประการ ได้่แก่ เร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจาการขึ้นภาษีศุลกากร แผนการสนับสนุนภาคการผลิต แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาว แผน ไต้หวัน+1  ซึ่งก็คือการกระจายการลงทุน ไต้หวัน + สหรัฐฯ การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ

         นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดตั้งคณะเจรจาขึ้น โดยมีรองนายกรัฐมนตรีเจิ้งลี่จวินเป็นหัวหน้าคณะ และมีตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งของรัฐ วิชาการและภาคเอกชนเข้าร่วมในทีมเจรจาเพื่อผลักดันการเจรจาให้เป็นไปโดยราบรื่น 

ผู้นำไต้หวันประกาศ 4 ยุทศาสตร์รับมือมาตรการภาษีของทรัมป์ฯ 

         หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งจัดเก็บจากไต้หวันถึง 32% สร้างความหวั่นวิตกโดยทั่วไปในไต้หวัน และผู้นำไต้หวันได้เสนอ 5 มาตรการรับมือในโอกาสแรก ที่มุ่งเจรจาลดภาษีเหลือ 0%  ต่อมาก็ได้เสนอ 4 ยุทธศาสตร์ผ่านบทความที่ตีพิมพ์ในนิตยสารบลูมเบิร์ก ได้แก่ การยกเว้นภาษีระหว่างกัน เพิ่มการนำเข้าสินค้าและจัดซื้อาวุธจากสหรัฐฯ การเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และการให้คำมั่นที่จะยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีศุลกากร 

ไต้หวันเดือดทรัมป์ฯ ขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าไต้หวัน แถมกล่าวหาไต้หวันแย่งงานแย่งเงินจากสหรัฐฯ ด้วย 

           การประกาศขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เมื่อ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยจัดเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าไต้หวันในอัตรา 32% ในสินค้าส่วนใหญ่ที่ไต้หวันส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยกเว้นเซมิคอนดักเตอร์ ทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา ไม้ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญบางชนิด มาตรการดังกล่าวของทรัมป์ฯ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. ศกนี้เป็นต้นไป รวมทั้งเป็นมาตรการที่ดำเนินการต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ได้เปรียบดุลการค้าต่อสหรัฐฯ จำนวนมหาศาลในอันดับต้น ๆ ซึ่งรวมถึงไทยที่ถูกจัดเก็บสูงกว่าไต้หวันโดยถูกจัดเก็บถึง 36%

          ประเทศต่าง ๆ ล้วนมาตรการรับมือในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องขอเปิดการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเล็กที่ไม่มีหมากต่อรองมากนักอย่างไทยและไต้หวัน ส่วนประเทศยักษ์ใหญ่อย่างแคนาดาหรือจีน ก็งัดมาตรการภาษีมาตอบโต้ 

         สำหรับในส่วนของไต้หวัน ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้โพสต์แสดงความไม่พอใจในทันทีที่ทราบข่าวและหลังร่วมปรึกษาหารือกับระดับสูงของไต้หวันเกี่ยวกับแนวทางการรับมือต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการประกาศขึ้นภาษีที่เกิดขึ้น โดยตอกย้ำว่า "มาตรการเหล่านี้ไม่สะท้อนความเป็นจริงของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ ซึ่งเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน” และย้ำความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย  

          ประธานาธิบดีไล่ฯ ระบุอีกว่า การขึ้นภาษีต่อไต้หวันเป็นอัตราที่สูงเกินความคาดหมาย รวมทั้งได้สั่งการให้ นายกฯ จั๋ว หรงไท่ และทีมงานติดตามผลกระทบและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสั่งการให้มีการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ อย่างจริงจังต่อไป 

        ทางด้านนายกรัฐมนตรีจั๋วหยงไท่ ได้เปิดแถลงข่าวแสดงท่าทีของไต้หวันต่อการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ว่า "ไร้เหตุผลสิ้นดี” (deeply unreasonable) และ "เป็นสิ่งที่สร้างความผิดหวังอย่างสูง” (highly regrettable) โดยโฆษกสภาบริหารไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ระบุว่า  รัฐบาลไต้หวันจะแสดงความวิตกกังวลอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ  (lodge a solemn representation) และจะขอเปิดเจรจากับสหรัฐฯ โดยเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อผลประโยชน์ของไต้หวันต่อไป รวมทั้งย้ำว่า การขึ้นภาษีร้อยละ 32 ต่อไต้หวันไม่เป็นธรรม  และมิได้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ที่แท้จริง เนื่องจากการส่งออกของไต้หวันไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI ของสหรัฐฯ เอง นอกจากนี้ ไต้หวันยังมีมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมมิให้สินค้าไต้หวันใช้กโลบายอาศัยประเทศที่ 3 ในการส่งผ่านสินค้า (transhipment) จากจีนหรือประเทศอื่น ๆ ไปยังสหรัฐฯ เช่นเดียวกับเวียดนาม กัมพูชา และไทย นอกจากนี้ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์แนวทางการคิดคำณวนอัตราการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่ไม่มีความชัดเจนและไม่อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 

          ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา TSMC ของไต้หวันได้ประกาศแผนการลงทุนเพิ่มเติมด้านเซมิคอนดักเตอร์ มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในมลรัฐอริโซนา และให้คำมั่นที่จะปรับเพิ่มการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อลดมูลค่าการได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งในปี 2567 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไต้หวันราว 7.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ราวร้อยละ 54.6 โดยไต้หวันคู่ค้าอันดับ ๖ ที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด

ไต้หวันเตรียมทุ่ม 8.8 หมื่นล้านช่วยภาคอุตสาหกรรมผ่านพ้นวิกฤตภาษีสหรัฐฯ 

         ระเบิดนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจลูกใหญ่จากผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ สะเทือนไปทั่วโลก ซึ่งไต้หวันถูกจัดเก็บสูงถึง 32% แม้จะไม่ได้สูงที่สุด แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของไต้หวันในวงกว้างไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ ทำให้รัฐบาลไต้หวันต้องเร่งหามาตรการรับมือนอกจากการขอเปิดเจรจากับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้

        นายจั๋วหยงไท่ นายกรัฐมนตรีได้เปิดแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้นหลังทราบข่าวการประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าไต้หวันเพิ่มเติมอีกถึง 32% งัดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไต้หวันรวม 9 ประเภท 20 มาตรการ งบประมาณช่วยเหลือรวม 8.8 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งประกอบไปด้วยเงินช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม 7 หมื่นล้าน เกษตร 1.8 หมื่นล้าน โดยจัดทำเป็นงบประมาณพิเศษ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากสภาฯ แต่พรรครัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อย จึงต้องขอเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้าน ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านได้แสดงจุดยืนว่า เรื่องนี้ ประธานาธิบดีไล่ฯ ควรเป็นผู้ออกมานำขบวนในการปรึกษาหารือกับฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของรัฐบาลในตอนนี้กำลังเคลื่อนไหวถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีจุดมุ่งหมายต่อ สส. ของพรรคฝ่ายค้าน สร้างความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง 

        อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าผู้นำภาคธุรกิจไต้หวันจะมีความเห็นเป็นอื่น นายสวีซูป๋อ ประธานหอการค้าไต้หวันระบุว่า หลังจากฟังการแถลงข่าวจนจบ ก็ยังไม่เข้าใจว่า 8.8 หมื่นล้านจะเอาไปใช้ตรงไหน หรือจะช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างไร พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า ในอนาคตสินค้าส่งออกของไต้หวันมีราคาสูงขึ้น จนอาจนำไปสู่การอพยพโยกย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ส่วนทางด้านนายหลินป๋อฟง นายกสมาคม Third Wensday ไต้หวัน ก็ระบุว่า การทุ่มเงินช่วยเหลือเหล่านี้ ไม่น่าจะมีประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อผู้ประกอบการ  

        นายสวี่ซูป๋อ วิเคราะห์ว่า ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดก็คือปริมาณสินค้าส่งออกของไต้หวันจะมีจำนวนลดง ราคาก็จะทะลุเพดาน สินค้าขายไม่ออก เดิมคาดว่าจะได้กำไร แต่เมื่อมีการขึ้นภาษีก็จะส่งผลต่อผลกำไร ซึ่งตอนนี้ ภาษี 32% หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เมื่อสินค้าของไต้หวันไม่มีศักยภาพความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกแล้ว จะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ประเด็นมิใช่อยู่ที่การเปลี่ยนทิศทางการส่งออกสู่ตลาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่อยู่ที่การช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิต ส่วนสินค้าที่ส่งออกก็ยังขาดช่องทางการจัดจำหน่าย อย่างอุตสาหกรรมการบินที่มีอนาคตค่อนข้างสดใส ตอนนี้ก็ขาดคำสั่งซื้อ รัฐบาลจึงควรหาทางแก้ปัญหาให้แก่แต่ละภาคอุตสาหกรรมเป็นรายประเภทแบบเฉพาะเจาะจง มิใช่ใช้วิธีสาดเม็ดเงินแบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ ซึ่งไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ทำให้ไต้หวันต้องเผชิญหน้ากับการอพยพโยกย้ายฐานการผลิตออกจากไต้หวันไปต่างประเทศ 

         ส่วนนายหลินฯ ก็ได้แนะนำว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนอยู่แล้ว จึงควรหาทางมิให้ผู้ประกอบการย้ายไปลงทุนในประเทศที่มีภาษีศุลกากรค่อนข้างต่อ ประการต่อมาก็คือ รัฐบาลควรอาศัยความได้เปรียบที่มีอยู่เปิดการเจรจากับสหรัฐฯ การใช้เงิน 8.8 หมื่นล้านมารับมือกับการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งมันไม่มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น