พลวัตอุตสาหกรรมดั้งเดิมฟื้นตัวเป็นลำดับ ดัชนีอุตสาหกรรม 2 เดือนแรกของปีนี้เติบโตเลขสองหลัก

         สำนักสถิติ กระทรวงเศรษฐการ ไต้หวันระบุว่า ดัชนีภาคอุตสาหกรรมของไต้หวันในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 94.28 ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 10.88 ต่อปี ส่วนดัชนีภาคการผลิตเติบโตต่อปีที่ 11.58% ซึ่งวิเคราะห์ว่า ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ชะลอตัวลง ส่วนอุตสาหกรรมดั้งเดิมก็เริ่มฟื้นตัวเช่นเดียวกัน ตอนนี้ก็คาดว่า ภาคการผลิตในเดือน มี.ค. น่าจะมีการเติบโตในระดับเลขสองหลัก ไตรมาสแรกที่จะเป็นไตรมาสโลว์ซีซั่น แต่ก็ไม่ได้โลว์จริง ๆ 

         สำนักสถิติ กระทรวงเศรษฐการ ไต้หวัน ระบุว่า เนื่องจากในช่วงเดือน ก.พ. มีเทศกาลตรุษจีนที่ไม่ตรงกับปีที่แล้ว ปีนี้มีวันทำงานมากกว่า ทำให้ดัชนีภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ.  อยู่ที่ 92.44 เพิ่มขึ้นต่อปี 17.91% เติบโตในแดนบวกอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 แล้ว โดยภาคผลิตที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูงมีการเติบโตต่อปีถึง 18.95% เติบโตต่อเนื่องติดต่อเป็นเดือนที่ 2 และเมื่อตัดปัจจัยฤดูกาลออกไปแล้ว ดัชนีรวม 2 เดือนแรก ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตล้วนมีการเติบโตในระดับเลข 2 หลักทั้งสองรายการ 10.88% และ 11.58% ตามลำดับ 

ไต้หวันเตรียมรับมือ “15 ประเทศสกปรก” ของทรัมป์

         นายสก๊อต เบสเซ็น (Scott Bessent) รมว. คลังของสหรัฐฯ ได้กล่าวโจมตี 15 ประเทศที่จัดเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าสหรัฐฯ ในระดับสูงว่า เสมือน “15 ประเทศสกปรก” (the dirty 15) รวมทั้งได้ระบุว่าจะเริ่มปฏิบัติการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศเหล่านี้ตั้งแต่ 2 เม.ย. เป็นต้นไป ซึ่งมีรายงานข่าวระบุว่า “15 สกปรก” ที่เขาระบุนั้น หมายถึง จีน สหภาพยุโรป เม็กซิโก เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา อินเดีย ไทย สวิสฯ และมาเลเซีย เนื่องจาก ธนาคารของไต้หวันมีสาขาในประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศเหล่านี้ก็อาจกระทบต่อการประกอบธุรกิจของธุรกิจไต้หวันในประเทศเหล่านี้จนส่งผลกระทบต่อการปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจไต้หวันในต่างประเทศ  ฟังรายการเลย

เตรียมรับมือค่าไฟพุ่ง 10% เริ่มเมษายน นี้ 

         ปลายสัปดาห์นี้ คณะกรรมการพิจารณาค่าไฟไต้หวันจะเปิดการประชุมพิจารณาค่าไฟฟ้าในไต้หวัน เบื้องต้นได้ข้อสรุปจากคณะอนุกรรมการก่อนหน้านี้จะมีการปรับค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและร้านค้าย่อยที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 330 ยูนิต/เดือน จะปรับให้อยู่ในระดับเดียวกับในช่วงปี 2004 ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ ก็จะมีการปรับขึ้นตามสัดส่วนการใช้ไฟฟ้า ตามหลักการใช้มากจ่ายมาก ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มประมาณไม่เกิน 10% ภาคอุตสาหกรรมจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยประมาณ 6% 

        เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา การไฟฟ้าไต้หวันต้องแบกรับต้นทุนราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนเป็นจำนวนมากทำให้ในปีที่ผ่านมามียอดขาดทุนสะสมแล้วถึง 4.229  แสนล้าน เมื่อพิจารณาจากกรณีที่เงินอุดหนุนจากรัฐบาลจำนวน 2 แสนล้าน ที่ดูเหมือนจะหมดความหวังว่าจะได้มาช่วยอุดหนุนลดทอนตัวเลขที่ขาดทุนได้แล้ว ในขณะที่เงินอุดหนุนการพัฒนาในเกาะรอบนอกไต้หวันก็ต้องผ่านการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติและสภาบริหาร และเพื่อมิให้สภาพความขาดทุนในปีนี้ขยายตัวมากขึ้น จึงต้องพยายามเพิ่มรายได้จากค่าไฟฟ้าอีกอย่างน้อย 5 หมื่นล้าน ทำให้ต้องพิจารณาขึ้นค่าไฟครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมในระดับที่เหมาะสม

        ทั้งนี้ นายกัวจื้อฮุย รมว. เศรษฐการไต้หวันระบุว่า การปรับขึ้นค่าไฟของไต้หวันจะไม่สูงเหมือนของเกาหลีใต้ ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและร้านค้าย่อย เพื่อควบคุมให้อัตราภาวะเงินเฟ้อหรือ CPIอยู่ในกรอบไม่เกินร้อยละ 2 

        เมื่อมีการพิจารณาในรายละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่า การไฟฟ้าไต้หวันมิให้มีการพิจารณาค่าไฟตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้อยู่ในสภาพขาดทุน ราคาเฉลี่ยเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าช่วง 5 ปีก่อนการระบาดของโควิด ปรับตัวสูงขึ้นถึง 60% ในขณะที่ราคาค่าไฟฟ้าได้สะท้อนต้นทุนเพียง 40% เท่านั้น นายเจิงเหวินเซิง ประธานการไฟฟ้าไต้หวันได้เรียกร้องให้ปรับค่าไฟในระดับที่เหมาะสมเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าไฟครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 330 ยูนิต อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยเมื่อ 20 ปีก่อน 

       จากข้อมูลการพิจารณาภายในของการไฟฟ้าไต้หวันพบว่า ในส่วนของไฟฟ้าครัวเรือนที่ใช้ไฟน้อยกว่า 330 ยูนิต คิดราคาเดียวกันกับร้านค้าย่อยที่ใช้ไฟต่ำกว่า 330 ยูนิต จะปรับราคาให้อยู่ในระดับเดียวกับราคาเมื่อปี 2004 หมายความว่าปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 11-33% ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟมากกว่า 330 ยูนิต จะคำนวนราคาในระดับราคาที่ใช้ยิ่งมากก็จะยิ่งแพง โดยในแต่ละช่วงจะมีการปรับเพิ่มไม่เกิน 10%  

นักวิชาการระบุว่า GDP ไต้หวันปีนี้อาจต่ำกว่า 3% 

          การประชุมล่าสุดของคณะกรรมการบริหารธนาคารกลางไต้หวันได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 3.05% ส่วนสำนักบัญชีกลางไต้หวันก็ปรับลดลงเหลือ 3.14% แม้จะมีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ลงไม่มาก แต่ก็เหลือเพียงประมาณแตะที่ 3% ซึ่งมีนักวิชาการเห็นว่า การขึ้นอัตราภาษีศุลกากรในเดือน เม.ย. ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกระทบต่อการส่งออกของไต้หวันเป็นแน่ ส่วนการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ของ TSMC จะกระทบต่อการลงทุนในไต้หวัน จึงคาดว่า GDP ปีนี้อาจต่ำกว่า 3%

          ธนาคารกลางไต้หวันคาดตัวเลข GDP ปีนี้ต่ำกว่าการคาดการณ์คราวที่แล้วประมาณ 3.05% จากเดิมที่คาดไว้เมื่อ ธ.ค. ปีที่แล้ว 3.13% ส่วนสำนักบัญชีกลางก็ปรับลดจากเดิมในเดือน ธ.ค. 3.29% เหลือ 3.14% ในครั้งนี้ โดยปรับลดลง 0.15%

         นายอู๋ต้าเริ่น ผู้จัดการศูนย์วิจัยพัฒนาเศรษฐกิจไต้หวัน มหาวิทยาลัยจงหยาง ไต้หวัน ระบุว่า มาตรการต่าง  ๆ ในเดือน เม.ย. ของประธานาธิบดีทรัมป์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเก็บภาษีศุลกากรแผ่นชิปที่อาจสูงถึง 25% ส่งผลให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ขยับตัวสูงขึ้นด้วย ความต้องการก็จะลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกของไต้หวันคิดเป็นสัดส่วนใน GDP สูงถึง 65-70% แม้แต่ประเทศที่อาศัยการส่งออกไม่สูงเท่าไต้หวัน อย่างเกาหลี หรือเยอรมนี มีสัดส่วนไม่ถึง 40% จีนก็มีเพียง 18% เพราะฉะนั้นผลกระทบต่อไต้หวันย่อมรุนแรงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ เหล่านี้

ไต้หวันสั่งสอบการทุ่มตลาดสินค้าเหล็ก และเบียร์จากจีน

           เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมศุลกากรไต้หวันได้ประกาศสอบสวนพฤติกรรมการทุ่มตลาดของสินค้าเหล็กรีดร้อนและเบียร์นำเข้าจากจีน ตามคำร้องเรียนของผู้ประกอบการเหล็กในไต้หวัน โดยกล่าวหาสินค้าเหล็กจีนว่ามีราคาถูกกว่าอาหารเลี้ยงหมูและยังถูกกว่าเต้าหู้ แม้ผู้ประกอบการไต้หวันจะปรับลดราคาอย่างไรก็ไม่อาจสู้ราคาได้ ส่งผลใหยอดขายครึ่งแรกของปีที่แล้วเมื่อเทียบกับช่วยเดียวกันของปีก่อนหน้า สินค้าจากจึนพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 296 ทั้งนี้ นักวิชาการไต้หวันเห็นว่า การเริ่มกระบวนการสอบสวนพฤติกรรมทุ่มตลาดดังกล่าว อาจเนื่องจากกระทรวงการคลังไต้หวันเกรงว่า เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าเหล็กจากจีน จะทำให้สินค้าเหล็กจากจีนทะลักเข้ามายังตลาดในไต้หวัน ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไต้หวัน 

ชาวไต้หวันใช้จ่ายท่องเที่ยวต่างประเทศทะลุหลักล้านล้าน ทุบสถิติ ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศลดลง 6.2%

            ในรอบปีที่ผ่านมา ชาวไต้หวันแห่เดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน โดยยอดรวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศของชาวไต้หวันรวมทั้งสิ้น 1.4837 ล้านล้านเหรียญไต้หวัน ในจำนวนนี้เป็นค่าใช้จ่ายของการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศถึง 1.191 ล้านล้าน นอกจากจะมีมูลค่าสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด - 19 ยังทุบสถิติหลักล้าน ๆ  เป็นครั้งแรก และสูงกว่าค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวในประเทศถึง 2.2 เท่าตัว ซึ่งลดลงเหลือเพียง 4.646 แสนล้าน ทั้งนี้ นักวิชาการประเมิณว่า ในปีนี้ ชาวไต้หวันจะเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ยอดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศก็จะทะลุหลักล้านล้านอีกอย่างแน่นอน 

          สำนักวิจัยนโยบายการท่องเที่ยวไต้หวันได้วิเคราะห์สถิติของการท่องเที่ยวไต้หวัน ปีที่แล้วมีชาวไต้หวันเดินทางไปต่างประเทศมากถึง 16.84 ล้านคนครั้ง เฉลี่ยค้างคืนในต่างประเทศ 7.25 วัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้ง 60,481 เหรียญไต้หวัน ใช้จ่ายรวม 1.191 ล้านล้าน นอกจากจะเพิ่มขึ้นจากปี 2023 ถึง 42% แล้ว เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด 24% และเป็นครั้งแรกที่ทะลุหลักล้านล้านเหรียญไต้หวัน 

         สำหรับในส่วนของการท่องเที่ยวในประเทศ ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ และมีการพักแรมรวมทั้งสิ้น 59.86 ล้านคนครั้ง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้ง 2396 เหรียญไต้หวัน ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมของการท่องเที่ยวภายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 4.649 แสนล้าน ลดลงจากปีก่อนหน้านี้ 6.2% ที่อยู่ที่ 4.954 แสนล้านเหรียญไต้หวัน

ผู้นำไต้หวันชื่นชม TSMC จะอุทิศพลังให้แก่ปัญญาประดิษฐ์ยุคต่อไปและเสริมพลังอันเข้มแข็งยิ่งขึ้นในแก่ไต้หวัน 

         หลังจากที่ TSMC ได้ประกาศเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีก 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ นายเว่ยเจ๋อเจีย ประธาน TSMC ก็ได้เข้าพบประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ รองประธานาธิบดีเซียวเหม่ยฉิน และระดับสูงของไต้หวันที่ทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันในกรุงไทเป และเปิดแถลงข่าวพร้อมกัน โดยประธานาธิบดีไล่ฯ ได้กล่าย้ำว่า โครงการลงทุนในครั้งของ TSMC ในสหรัฐฯ จะเป็นการลงทุนเพื่ออุทิศกำลังกายและกำลังใจให้แก่การพัฒนาอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และการประยุกต์ใช้ในยุคต่อไป เพื่อให้การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันปรากฎเป็นจริง ห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาของ TSMC และก็ยิ่งเป็นห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ 

        ผู้นำไต้หวันระบุว่า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้พัฒนาในไต้หวัน เป็นผลสำเร็จร่วมกันของทุกฝ่ายทั้งฝ่ายภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานราชการ และวิชาการ ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากสังคมและประชาชนไต้หวันอย่างเต็มที่ ร่วมกันสร้างผลสำเร็จแห่งการก่อให้เกิด “ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ปกป้องประเทศชาต” TSMC อาศัยการกระจายการลงทุนทั่วโลก ทำให้เติบใหญ่เข้มแข็ง และมีศักยภาพความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันยังได้สร้างโอกาสในการร่วมมือกับวิสาหกิจข้ามชาติ ทำให้ไต้หวันมีความเข้มแข็งมากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระจายการลงทุนภายใต้โครงสร้างใหม่ ก้าวสู่เป้าหมาย “ยืนตระหง่านในไต้หวัน กระจายการลงทุนสู่ทั่วโลก และก้าวสู่โลก” พัฒนาให้ไต้หวันมีพลังอันเข้มแข็งและเติบใหญ่มากยิ่งขึ้น  

        ส่วนนายเว่ยเจ๋อเจีย ประธาน TSMC ก็ได้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า TSMC นอกจากจะลงทุนในไต้หวันแล้ว การลงทุนสร้างสายการผลิตในประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ญี่ปุ่น เยอรมนี หรือในสหรัฐฯ ล้วนเป็นไปตามความต้องการของลูกค้าทั้งสิ้น การขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากลูกค้าในสหรัฐฯ มีความต้องการสูงมาก และก่อนที่จะตัดสินใจขยายการลงทุนมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ก็มีการประเมินหลายรอบมาก พบว่า การขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ยังไม่พอกับความต้องการนัก แม้จะต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ด้วย แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือความต้องการของลูกค้า

       เขาระบุอีกว่า การลงทุนจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย อย่างเช่นความสำเร็จในไต้หวัน แม้จะเป็นความพยายามร่วมกันของพนักงานของบริษัทร่วมกัน แต่หากไม่มีรัฐบาล ไม่มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องและไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและสังคมแล้ว ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ โดย TSMC ยึดมั่นในแนวทาง “รับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น รับผิดชอบต่อพนักงาน และรับผิดชอบต่อสังคม” ซึ่งเป็นการให้โอวาทในช่วงตลอด 37 ปีที่ผ่านมาของนายมอริส จาง ผู้ก่อตั้ง TSMC “ซื่อสัตย์ ซื่อตรง” เป็นสิ่งที่พวกเขายึดมั่นในใจมาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ (ซ้าย) แถลงข่าวร่วมกับนายเว่ยเจ๋อเจีย (ขวา) ประธาน TSMC 

TSMC เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ แสนล้าน US$ ผู้นำไต้หวันย้ำเสริมความยืดหยุ่นให้แก่ห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์กับพันธมิตรประชาธิปไตย

            สืบเนื่องจากกรณีที่บริษัท TSMC　ยักษ์ใหญ่เซมิคอนดักเตอร์ และผู้ผลิตแผ่นชิปที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ของไต้หวัน ได้ประกาศหลังประธานบริษัทเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวว่า จะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีกแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างความฮือฮาให้กับวงการอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และสร้างแรงกระเพื่อมการเมืองในไต้หวันพอสมควร ซึ่งประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวันได้กล่าวในโอกาสให้การต้อนรับนาย Edwin Feulner ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Heritage Foundation จากสหรัฐฯ และคณะ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวัน กรุงไทเป ย้ำว่า ไต้หวันกับสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน การประกาศขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ของ TSMC ในครั้งนี้ ซึ่งไต้หวันจะลงทุนและจัดซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง พลังงาน และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ซึ่งหวังว่า หุ้นส่วนประชาธิปไตยซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ จะร่วมกันเสริมความยืดหยุ่น และความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานให้มากขึ้น เพื่อรับมือกับการพัฒนาของสถานการณ์ใหม่ในอนาคต 

นายเว่ยเจ๋อเจีย (ขวา) ประธาน TSMC แถลงข่าวพร้อมผู้นำไต้หวัน 

          ส่วนทางด้านนาย Raymond Greene ผู้อำนวยการสำนักงานอเมริกันในไต้หวัน หรือ AIT ประจำไต้หวัน ได้กล่าวย้ำว่า การขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ของ ＴＳＭＣ　เป็นการตอกย้ำ่ความเข้มข้นในความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้แก่ความปลอดภัยและความมั่นคงของเศรษฐกิจของสองประเทศด้วย  

นาย Raymond Greene ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานอเมริกันในไต้หวัน (AIT) 

ไต้หวันโปรโมทท่องเที่ยวเที่ยวภาคใต้ไต้หวัน บนตัวรถไฟฟ้าใน กทม. หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย

         สำนักการท่องเที่ยวไต้หวัน กระทรวงคมนาคม ไต้หวัน เปิดเผยว่า ในปีนี้การท่องเที่ยวไต้หวันมุ่งเน้นส่งเสริมการดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย โดยได้ซื้อโฆษณาบนตัวรถไฟฟ้าใน กทม. โชว์วิวทิวทัศน์ของเจียอี้ ไหนาน เกาสง ผิงตง ฮัวเหลียน และไถตง รวมทั้งการประชาสัมพันธ์อาหารรสเด็ดของไต้หวัน ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยให้มาสัมผัสวิวทิวทัศน์และอาหารรสเด็ดไต้หวันด้วยตนเอง

ไต้หวันลุยตลาดท่องเที่ยวไทย หวังดึงนักท่องะเที่ยวไทยมาเที่ยวไต้หวัน

        สำนักการท่องเที่ยวไต้หวันเปิดเผยว่า ได้เชิญช่างภาพชื่อดังอย่าง Kankavee Karnjanadecha และจิตกรฝาผนัง Parinya Sirisinsuk ที่ใช้นามปากกาว่า “Benzilla” ร่วมกันสรรค์สร้างผลงานโฆษณาบนตัวรถไฟฟ้าใน กทม. ตระเวณรอบกรุงเทพมหานคร ได้ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของไต้หวัน 

ขอบคุณภาพจาก FB Khemphon Pornporn

        ศิลปินไทยทั้งสองท่านได้ร่วมกันออกแบบภาพโฆษณาท่องเที่ยวภาคใต้ไต้หวันออกสู่สายตาของนักท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่ ก.พ. ปีนี้เป็นต้นไป และยังจะได้เห็นโฆษณาเหล่านี้ได้ที่สถานีเอ็มอาร์ที สถานีจตุจักร ระหว่างเดือน ก.พ. - มี.ค. ขบวนรถไฟฟ้า BTS ก.พ. - เม.ย. สถานีศาลาแดง เดือน เม.ย. - พ.ค. และขบวนรถไฟฟ้า MRT พ.ค. - ก.ค. 

ขอบคุณภาพจาก FB Khemphon Pornporn

นักท่องเที่ยวไต้หวันยังคงนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นและเกาหลีในช่วงตรุษจีน

           หลังจากสถานการณ์โควิดผ่อนคลายลง ชาวไต้หวันนิยมไปท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงตรุษจีน ซึ่งจากการสำรวจของบริษัท Visa บัตรเครดิตระดับโลกพบว่า ในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวไต้หวันนิยมไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นหลัก คิดเป็นกว่า 50% ของจำนวนเงินที่ใช้ผ่านบัตรเครดิตทั้งหมด นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวไต้หวันได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญขยายไปสู่จุดท่องเที่ยวอื่น ๆ อย่างที่ญี่ปุ่นก็จะไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะที่เมืองสำคัญอย่างโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า แต่จะขยายไปท่องเที่ยวยังเมืองรองต่าง ๆ อย่างที่ญี่ปุ่นก็มีนักท่องเที่ยวไต้หวันไปท่องเที่ยวที่ Yamaguchi เกาะฮนชู ที่ตั้งของยอดเขาฟูจิยามา หรือเมือง Niigata 

ส่งออกไต้หวันเดือน ม.ค. สิ้นสุดแดนบวกที่เป็นมาอย่างต่อเนื่อง 10 เดือน คาด ก.พ. ขยับขึ้นแน่

           กรมสถิติ กระทรวงเศรษฐการ ไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ประกาศข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าไต้หวันจากต่างประเทศประจำเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา มูลค่ารวม 4.697 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน ลดลงร้อยละ 3 ต่อปี แม้วันหยุดยาวตรุษจีนที่ผ่านมาจะทำให้การเติบโตในแดนบวกที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องของการส่งออกนานถึง 10 เดือน แต่ระดับการลดลงก็ดีกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก กรมสถิติฯ วิเคราะห์ว่า ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นว่า การระดมสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อนที่รัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง เริ่มลดสีสรรลง ประกอบกับความต้องการต่อระบบคอมพิวเตอร์ระดับสูงและอุตสาหกรรมเอไอที่เป็นไปอย่างคึกคัก จะทำให้มูลค่าการสั่งซื้อสินค้าไต้หวันจากต่างประเทศเติบโตร้อยละ 15.3 - 20.6 กลับไปยืนอยู่ในแดนบวกอีกครั้ง 

ไต้หวันขยายความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ WTO 

           เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักประมง กระทรวงเกษตรไต้หวัน เปิดเผยว่า เพื่อให้ทรัพยากรด้านการประมงของไต้หวันเชื่อมต่อเข้ากับแนวโน้มสถานการณ์ระดับโลก คณะผู้แทนถาวรประจำ WTO ของไต้หวันได้ยื่นหนังสือแสดงความเห็นชอบต่อความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนกิจการประมงของ WTO แล้วเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา 

          ความตกลงดังกล่าว ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 12 ของ WTO เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2022 ซึ่งประกอบไปด้วย การห้ามอุดหนุนกิจการประมงที่ไม่มีการรายงานการกระทำที่ผิดกฎหมายและไม่อยู่ในกรอบการทำประมงหรือ IUU ห้ามอุดหนุนแก่กิจการ Overfished Stock, OFS ช่วยเหลือสมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาให้มีความสามารถเพียงพอ จัดตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อแก้ไขปัญหาให้การทำงานของคณะกรรมการบริหารมีความโปร่งใสและให้คำปรึกษาแนะนำ ซึ่งได้ผ่านการรับรองของสมาชิกจำนวน 2 ใน 3 หรือ 111 ประเทศให้ความเห็นชอบและเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว 

ผู้นำไต้หวันย้ำภาษีที่เก็บได้เกินเป้าจะใช้เพื่อสังคมให้เข้มแข็ง 

         จากกรณีที่วิปพรรค KMT พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้รัฐบาลนำเงินภาษีที่เก็บได้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้คืนให้แก่ประชาชนคนละ 1 หมื่นเหรียญไต้หวัน ซึ่งประธานาธิบดีไล่ฯ ได้ระบุในงานเลี้ยงฉลองตรุษจีนของกลุ่มองค์กรภาคธุรกิจการค้าว่า เนื่องจากในปี 2024 เศรษฐกิจไต้หวันดีเยี่ยม ทำให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลจะนำภาษีที่จัดเก็บได้ไปเสริมการลงทุนทางสังคม อาทิ สวัสดิการเด็กเล็กอายุ 0-6 ขวบ รัฐบาลจะเป็นผู้ช่วยเลี้ยงให้ เรียนฟรีระดับมัธยมต้น ปลายและสายอาชีพ ให้เงินอุดหนุนค่าเทอมสำหรับนักศึกษาในสถาบันการศึกษาภาคเอกชน การดูแลผู้สูงวัยระยะยาว 3.0 ผลักดันแผนสุขภาพไต้หวัน นอกจากนี้ ยังจะผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

กระทรวงแรงงานไต้หวันผ่อนปรนนำเข้าบาร์เทนเดอร์ต่างชาติทำงานในไต้หวัน 

         กระทรวงแรงงานได้อนุมัติให้ว่าจ้างบาร์เทนเดอร์ต่างชาติทำงานในไต้หวันได้ แต่ต้องจ่ายเงินเดือนอย่างน้อย 47,971 เหรียญไต้หวัน/เดือน และจะต้องมีประสบการณ์ด้านบาร์เทนเดอร์อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป 

         ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานไต้หวันได้รับการร้องเรียนว่า มีโรงแรมในไต้หวันว่าจ้างบาร์เทนเดอร์ต่างชาติมาทำงานเสริมในไต้หวัน แต่ถูกร้องเรียนว่าไม่มีวีซ่าทำงาน ที่สำคัญเนื่องจากอาชีพบาร์เทนเดอร์ยังเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในไต้หวัน 

ฟังสัมภาษณ์บรรณาธิการบริหารและนักเขียนชื่อดังจากไทย รับหนังสือพร้อมลายเซ็น

          มหกรรมหนังสือนานาชาติไทเป (Taipei International Book Exhibition – TIBE) ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่  4 - 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ อาคารไทเปเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ฮอลล์ 1 มีนักเขียนจากทั่วโลกมาร่วมงานแบ่งปันประสบการณ์แนวคิดเกี่ยวกับการเป็นนักเขียนของตน กว่า 50 คน และมีผู้บริหารของสำนักงานพิมพ์จากทั่วโลกมาร่วมงานอย่างคับคั่ง นักอ่านไต้หวันก็ให้ความสนใจไม่น้อย แม้จะต้องซื้อบัตรเข้าชม และฝนตกปรอย ๆ ในบางวัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความอยากอ่านหนังสือของนักอ่านไต้หวันลดน้อยถอยลงแม้แต่น้อย ไฮไลท์ของงานก็คือการจัดเสวนากับทั้งนักเขียนและผู้บริหารตลอดช่วงการจัดงาน 

ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ แนะนำให้ลงทุนกับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ รับรองไม่มีวันขาดทุน 

         ในส่วนของไทยก็มีการจัดเป็น “ศาลาประเทศไทย” อย่างอลังการ โดดเด่นในงาน มีสำนักพิมพ์จากไทยเข้าร่วมงานถึง 27 แห่ง นำหนังสือที่คัดสรรมาร่วมแสดงหลายสิบเล่ม ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักอ่านไต้หวันไม่น้อย

         เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษคุณเจติยา โลกิตสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและบรรณาธิการบริหาร สถาพรบุ๊กส์ ซึ่งอยู่ในวงการหนังสือของไทยมานานกว่า 30 ปี พร้อมด้วยนักเขียนหนุ่มที่คลุกคลีในวงการหนังสือนิยาย คุณปราบต์ เจ้าของเรื่องสั้นทั้งประเภท Y และแนวสืบสวนสอบสวน ทั้งสองท่านได้เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับแวดวงหนังสือที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวจากหนังสือเป็นเล่มหรือ e-book รวมถึงการก้าวสู่การเป็นหนังสือเสียงเพื่อให้บริการแก่กลุ่มผู้อ่านมากยิ่ง และในการนี้คุณเจติยาฯ ยังได้มอบหนังสืองานเขียนของคุณปราบต์ พร้อมลายเซ็นมอบให้กับนักอ่านที่เป็นแฟนรายการของ Rti จำนวน 4 เล่ม 3 เรื่อง ได้แก่ คุณหมีปาฎิหาริย์ ฝนล้านฤดู อย่างละ 1 แล่ม และเรื่องลิงพาดกลอน 2 เล่ม เมื่อฟังคำสัมภาษณ์แล้วก็เพียงแต่พิมพ์ข้อความโดนใจผู้แจกฝากข้อความในช่องคอมเมนต์ของ Rti Fanpage เท่านั้น เราก็จะจัดส่งไปให้ถึงรางวัลละ 1 เล่ม 

คุณเจติยา โลกิตสถาพร (กลาง) คุณปราบต์ (ขวา) 

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวันคาดปีนี้ GDP โต 3.42% เป็นปี “มังกรสะบัดหาง” 

           สถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวัน ได้รายงานเกี่ยวกับตัวเลขคาดการณ์ GDP ของไต้หวัน โดยคาดว่าปีนี้ไต้หวันจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 3.42% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว 0.27% นักวิชาการเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ปีนี้จะเป็นปีที่เรียกว่า “มังกรสะบัดหางและงูผงกหัว ”เปลี่ยนจาก “1 โฮมรัม” เป็น “ 3 HIT” ทำให้เศรษฐกิจไต้หวันในปีนี้จะมีการเติบโตค่อนข้างสมดุลและมีเสถียรภาพ

          สถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวันคาดการณ์ว่า ในปี 2025 เศรษฐกิจไต้หวันจะโตร้อยละ 3.42 ปรับเพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์คราวที่แล้ว 0.27% นายซุนหมิงเต๋อ ผอ. ศูนย์พยากรณ์บรรยากาศทางเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวันระบุว่า ในช่วงปี 2020-2023 เป็นห้วงเวลาที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอาศัยเพียงปัจจัยเดียว หรือภาคการผลิตเพียงประเภทเดียวเท่านั้น อย่างในปี 2020 และ 2021 อาศัยการลงทุนเพียงอย่างเดียว ส่วนปี 2022 และ 2023 ก็อาศัยการบริโภคของภาคเอกชนเท่านั้น ส่วนปีนี้จะเป็นปีแรกที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นการเติบโตในทั้งสามด้าน ได้แก่ การลงทุน การบริโภคและการส่งออกไปพร้อม ๆ กัน จึงเปรียบเทียบได้ว่า ที่ผ่านมาอาศัยเพียง “1 โฮมรัน” แต่ปีนี้จะเป็นไปในลักษณะ “3 HIT”ที่มีผู้เล่นสามารถยึดหัวหาดได้ทั้ง 3 จุดในสนามแข่งและทำคะแนนได้ในการแข่งขันเบสบอลที่เป็นที่นิยมชมชอบของชาวไต้หวัน 

นายซุนหมิงเต๋อ ผอ. ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวัน

ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กระตุ้นสู่การเปิดศักราชใหม่ PCB มุ่งสู่ใต้

             เพื่อรับมือกับสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ บริษัท PCB หรือ Printed circuit board หรือภาษาไทยเรียกว่า แผ่นวงจรพิมพ์ ไต้หวัน ขยับขยายการลงทุนสู่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนอย่างเร่งด่วน ซึ่งไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทเหล่านี้จากไต้หวันคือ ประเทศไทย เป็นตัวเลือกอันดับ 1 ของพวกเขา สถิติอย่างเป็นทางการของไทยระบุว่า จะมีผู้ประกอบการ PCB ไต้หวันอย่างน้อย 50 ราย ลงทุนผลิตแผ่น PCB ในไทย ทำให้ในปี 2025 จะเป็นปีแห่งการเปิดศักราชใหม่ให้แก่อุตสาหกรรม PCB ของไทย ที่จะทยอยเดินสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง 

             อุตสาหกรรม PCB ของทั่วโลกเริ่มเคลื่อนย้ายการลงทุนมาตั้งแต่ยุคปี 1990 ที่เคลื่อนย้ายไปลงทุนในจีน ที่เริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปประเทศ แต่ตามการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าแรงในจีนและการเติบใหญ่ขึ้นของห่วงโซ่อุปทานสีแดง ส่งผลให้ผู้ประกอบการ PCB ของญี่ปุ่นและเกาหลีเริ่มปรับลดสัดส่วนการลงทุนในจีนลงมาตั้งแต่ปี 2010 และหลังปี 2018 ก็เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนขึ้น ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุนของอุตสาหกรรม PCB อีกระลอกหนึ่งซึ่งใหญ่กว่าเดิม และเร่งการไปลงทุนในอาเซียนมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก 

โรงงานผลิต PCB ทุนไต้หวันในไทย พร้อมเดินสายการผลิต

            สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไต้หวัน（TPCA）เปิดเผยว่า มูลค่าผลผลิตของอุตสาหกรรม PCB กว่าร้อยละ 62 มาจากโรงงานในจีน แต่ในช่วงที่ผ่านมา โรงงานไต้หวันอพยพโยกย้ายไปอาเซียนมากขึ้นเป็นลำดับ เหตุสำคัญเนื่องจากเป็นความต้องการของลูกค้าที่ต้องการกระจายการผลิตที่กระจุกตัวอยู่ในจีนเพียงแห่งเดียว โรงงานบางแห่งต้องการได้ออเดอร์หรือกระจายทุนออกไปทั่วโลก กลายเป็นแรงขับเคลื่อนทั้งองคาพยพห่วงโซ่อุปทานสู่ประเทศในอาเซียน 

            ในอดีตอุตสาหกรรม PCB ในไทยเป็นผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นกับบริษัท KCE ของไทย ในขณะที่บริษัทไต้หวันอย่าง เอเปกซ์  ชินพูน และ APCB Electronics(Thailand)Co.,Ltd ผลิตชิ้นส่วนที่นำไปใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่เมื่อผู้ประกอบไต้หวันและจีนเคลื่อนตัวสู่ไทยมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้อุตสาหกรรม PCB ของไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว การนำไปใช้ก็ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ทั้งเซิร์ฟเวอร์ ดาวเทียมวงโคจรต่ำ และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งล้วนเป็นการนำไปใช้ในส่วนของเทคโนโลยีระดับสูงทั้งสิ้น 

            หลังเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่นโยบายใหม่ของผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกอย่างไรหรือไม่ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบว่ามีผลกระทบที่แน่ชัดใด ๆ แต่คาดการณ์กันว่า นโยบาย “อเมริกันเฟิร์ส” ของเขา จะอาศัยการตั้งกำแพงภาษีศุลกากร ทำให้ภาคการผลิตและโอกาสงานไหลกลับเข้าไปในสหรัฐฯ มากขึ้น และอาจจะทำให้จีนใช้จุดยืนที่แข็งกร้าวมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาทางการค้าลง ด้วยเหตุนี้ การขยายการลงทุนในต่างประเทศของอุตสาหกรรมอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์จึงเร็วขึ้นและกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น 

กระจายความเจริญ ความั่งคั่ง เกาสงเปิดเที่ยวบินตรงเพิ่มกับอีก 3 เมือง กรุงเทพ ฮอกไกโด และโอกินาวา

          ในช่วงสัปดาห์ก่อนเทศกาลตรุษจีน สนามบินเสี่ยวกั่ง นครเกาสง ภาคใต้ของไต้หวันได้เปิดเที่ยวบินตรงกับอีก 3 เมือง ได้แก่ กทม. ฮอกไกโด และโอกินาวา นายสวี่จื้อเจี๋ย สส. พรรค DPP เปิดเผยว่า ในปลายเดือน ม.ค. ยังเปิดเที่ยวบินตรงกับเชียงใหม่ ของไทยด้วย เปิดศักราชใหม่ให้แก่นครเกาสง 

         ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในนครเกาสงระบุว่า ผู้คนทางภาคใต้ของไต้หวันที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวยังฮอกไกโดตอนนี้ก็ไม่ต้องถ่อไปขึ้นเครื่องถึงสนามบินนานาชาติเถาหยวนอีก และก็ยังมีจุดท่องเที่ยวอีก 2 จุดอย่าง กทม. และโอกินาวาด้วย เปิดเที่ยวบินตรงกับนครเกาสงพร้อมกันทั้ง 3 จุด ดันให้การท่องเที่ยวเกาสงก้าวสู่ศักราชใหม่อีกครั้ง 

        ส่วนนายสวี่จื้อเจี๋ย สส. พรรค DPP ซึ่งห่วงใยเที่ยวบินตรงกับนครเกาสงมาโดยตลอดกล่าวผ่านแถลงข่าวว่า เมื่อมองไปอีก 1 ปีข้างหน้า เป้าหมายของเราคือเปิดเที่ยวบินตรง 10 จุด รวมทั้ง 3 จุดที่เปิดเที่ยวบินตรงในครั้งนี้ สิ้นเดือน ม.ค. เปิดเที่ยวบินตรงกับเชียงใหม่ ก.พ. เปิดเที่ยวบินตรงกับคูมาโมโตะ (Kumamoto ) เมืองที่ตั้งโรงงาน TSMC ยักษ์ใหญ่เซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน ครึ่งปีแรกยังมีแผนการเปิดเที่ยวบินตรงกับจีจู เกาหลีใต้ และ Sendai ของญี่ปุ่น ในราวเดือน ต.ค. ปีนี้ 

        นอกจากนี้ นายสวี่จื้อเจี๋ย ยังได้เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังกำลังผลักดันเส้นทางบินอีก 2 เส้นทางที่จะเป็นเส้นทางบินทอง ได้แก่เส้นทางบินตรงกับสหรัฐฯ โดยให้ผู้ประกอบการประเมินความเป็นไปได้ในการเปิดเที่ยวบินตรงกับสหรัฐฯ หากมีปริมาณผู้โดยสารเพียงพอ การเปิดเที่ยวบินตรงกับสหรัฐฯ ในอนาคตก็จะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ส่วนอีกเส้นทางบินหนึ่งก็คือเที่ยวบินตรงกับสนามบินฮาเนดะ ของญี่ปุ่น ซึ่งกำลังเจรจากับญี่ปุนเพื่อขอความร่วมมือจากฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งหวังว่าจะเปิดศักราชใหม่ให้แก่เที่ยวบินตรงระหว่างไต้หวันกับญี่ปุ่น 

คาด จีดีพี 2024 พุ่ง 4.3% ดีกว่าที่คาดไว้ และดีสุดในรอบ 3 ปี 

          สำนักบัญชีกลาง สภาบริหารไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ระบุเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ไตรมาส 4 ของปีที่แล้วอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 1.84% ดีกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือน พ.ย. ที่อยู่ที่ 1.72% เพิ่มขึ้น 0.12% ดังนั้นจึงคาดว่าตลอดทั้งปีของปีที่แล้ว จะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเบื้องต้นอยู่ที่ 4.3% มากกว่าเดิมที่คาดไว้ที่ 4.27% เมื่อเดือน ธ.ค. เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 3 ปี สาเหตุสำคัญมาจากการที่การลงทุนคงที่เพิ่มขึ้น และการสต๊อกสินค้าดีกว่าที่คาดไว้

          นางหวางชุ่ยหัว ผู้ตรวจการสำนักบัญชีกลางไต้หวันระบุว่า ตามการเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นของอุปสงค์เทคโนโลยีนวัตกรรมประยุกต์ การลงทุนของภาคเอกชนก็เข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วย ทำให้ไตรมาส 4 การนำเข้าสินค้าทุนในรูปเงินเหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้นถึง 41.23% การลงทุนการผลิตก็เติบโตขึ้น 14.25% คาดว่า การก่อรูปขึ้นของทุนซึ่งรวมถึงในส่วนของภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน จะเป็นการลงทุนคงที่และการเปลี่ยนแปลงของสต็อกสินค้าก็มีการเติบโต 17.53% เพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้ 6.23% “บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้องปรับตัวตามโอกาสทางธุรกิจเอไอ จึงเร่งขยายกำลังการผลิตทั้งในส่วนของการผลิตระดับสูงและการแพกเกจ การลงทุนอุปกรณ์เครื่องจักรกลจึงมีความเข้มข้นมากขึ้น ส่วนโครงการก่อสร้างและการลงทุนอุปกรณ์การผลิตอุตสาหกรรมเอไอ ประกอบกับสต็อกสินค้าก็เพิ่มขึ้น จึงคาดการณ์ในเบื้องต้นว่า การลงทุนที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 17.53% เป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ GDP ปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้