ตัวแทนผู้นำไต้หวันย้ำไต้หวันยินดีให้ความร่วมมือกับประเทศสมาชิก APEC เต็มที่
การประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปก 2024 ที่เปรู ได้ปิดฉากลงแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยไต้หวันมีนายหลินซิ่นอี้ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี เป็นตัวแทนผู้นำไต้หวันเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ซึ่งนายหลินฯ ได้กล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำประเทศต่าง ๆ ทั้งในแบบทวิภาคอย่างเป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ ประเด็นสำคัญคือต้องเข้าใจและยึดกุมโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายต้องการร่วมมือกัน ก็จะสามารถพูดคุยกันต่อไปได้ นอกจากนี้ นายหลินฯ ยังแย้มว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับประธาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ 2-3 ครั้ง และทักทายกับผู้นำจีน แต่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
นายหลินซิ่นอี้ ตัวแทนผู้นำไต้หวันเข้าร่วมประชุมผู้นำเศรษฐกิจ APEC
ในการแถลงข่าว นายหลินซิ่นอี้ ตัวแทนผู้นำไต้หวันได้ระบุว่า ในการประชุมคราวนี้ได้ใช้โอกาสนี้ จัดการพบปะแบบทวิภาคีหลายรอบกับผู้นำประเทศต่าง ๆ และยังเข้าร่วมการประชุมแบบพหุภาคีหลายครั้งด้วย แม้จะเป็นการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ แต่อย่างน้อยก็ใช้เวลาคราวละประมาณ 10 นาทีขึ้นไป พูดคุยเกี่ยวกับโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะมีความร่วมมือกัน เสนอแนวทางที่ไต้หวันอาจให้ความร่วมมือในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ ซึ่งได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี
นายหลินฯ ระบุว่า ผู้นำบางประเทศบอกว่า ตนกำลังพัฒนาในอุตสาหกรรมบางอย่าง ก็คิดถึงไต้หวัน อยากจะคุยกับไต้หวันในรายละเอียดให้มากขึ้น อยากรู้ว่า ไต้หวันจะให้ความร่วมมือด้านใดได้บ้าง ซึ่งกล่าวได้ว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทีเดียว และยังระบุว่า ขอแต่เพียงให้เราเข้าใจประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายต้องการร่วมมือกันเท่านั้น ก็จะสามารถคุยกันต่อได้ เราให้ความสนใจในประเด็นที่ใกล้เคียงกันมาก พร้อมทั้งแย้มว่า “ประเด็นความร่วมมือแบบทวิภาคีบางประเด็น กับบางประเด็นมีการพูดคุยกันในรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมด้วย
ส่วนประเด็นที่ผู้สื่อข่าวซักถามว่า มีการพูดคุยแบบทวิภาคีกับประเทศใดบ้าง นายหลินฯ ย้ำว่า เนื่องจากการพบหารือแบบทวิภาคีมีการตีความที่ค่อนข้างคลุมเครือ จึงยากที่จะใช้ตัวเลขมาระบุได้ แต่ก็มีการพูดคุยกับผู้นำของหลายประเทศอย่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย หรือ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ รวมทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ก็มีการพูดคุยกัน 2-3 ครั้ง ซึ่งตนก็ได้เชิญผู้นำสหรัฐฯ เยือนไต้หวันในโอกาสที่เหมาะสม ได้รับการตอบรับว่า “I Will” นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสพบปะแบบทวิภาคีกับ Antony Blinken รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร เป็นธรรมชาติ และเป็นกันเอง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวระบุว่า นายหลินฯ ตัวแทนผู้นำไต้หวัน ยังมีโปรแกรมพบหารือทวิภาคีนอกรอบหลังการประชุมระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปกกับประเทศสมาชิกอีกประมาณ 4-5 รอบ
นอกจากนี้ นายหลินฯ ยังได้กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมในฐานะตัวแทนผู้นำไต้หวันในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยเป็นตัวแทนผู้นำไต้หวันเข้าร่วมประชุมดังกล่าวเมื่อ 19 ปีก่อนว่า เพื่อนเก่าที่เคยเจอกันเมื่อ 19 ปีที่แล้ว คราวนี้ก็ไม่ได้มาเข้าร่วม เป็นหน้าใหม่ทั้งหมด แต่ตนมีความสนิทสนมกับบิดาของผู้นำบางประเทศ ซึ่งนอกจากในการสนทนาจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและสุขภาพของบิดาของผู้นำท่านนั้นแล้ว ยังได้คุยกันเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมและความร่วมมือระหว่างกัน
รายงานข่าวระบุว่า นายหลินซิ่นอี้มีความสนิทสนมกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ของไทย ซึ่งผู้สื่อข่าวไต้หวันก็จับภาพการพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกับนางสาวแพทองธารฯ บุตรสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ได้หลายช็อตทีเดียว
นายหลินซิ่นอี้ (ซ้าย) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (ขวา)
ไต้หวันเร่งขอเสียงสนับสนุนเข้าเป็นสมาชิก CPTPP ในการประชุมเอเปกปีนี้
นางหยางเจินหนี ผู้แทนการค้าและรัฐมนตรีประจำสภาบริหารไต้หวัน ในฐานะหนึ่งในหัวหน้าคณะผู้แทนระดับรัฐมนตรีของไต้หวัน ในการประชุมเอเปกปีนี้ ได้กล่าวในการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปกที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ระบุว่า ในช่วงระหว่างการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปก ไต้หวันได้ย้ำขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก CPTPP เข้าเป็นสมาชิก ซึ่งจะสามารถเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจและจีดีพีของสมาชิกได้มากขึ้น จึงไม่ควรคำนึงถึงปัจจัยทางการเมือง และย้ำว่า ไต้หวันได้ยื่นใบสมัครขอเข้าเป็นสมาชิก CPTPP ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ไต้หวันมีเงื่อนไขสอดคล้องกับคุณสมาบัติและมาตรฐานในระดับสูงของ CPTPP ทุกประการ จึงขอเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยึด “หลักการ 3 ประการโอ๊กแลนด์” ให้มั่น ซึ่งก็คือ สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสูงของสนธิสัญญา เคารพและปฏิบัติตามคำมั่นทางการค้า และมติเอกฉันท์ของสมาชิก เป็นหลักการสูงสุดในการพิจารณารับสมาชิกใหม่
หยางเจินหนีระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไต้หวันได้พยายามอาศัยทุกโอกาสในเวทีระหว่างประเทศเสริมปฏิสัมพันธ์กับประเทศสมาชิก CPTPP และย้ำว่า การเข้าเป็นสมาชิก CPTPP ของไต้หวันจะช่วยเสริมความยืดหยุ่น และความทรหดให้แก่ห่วงโซ่อุปทานภายในเขตเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก รวมทั้งเสริมพลังทางเศรษฐกิจ GDP ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น จับมือกันต่อต้านภาวะโลกร้อน เสริมความปลอดภัยด้านข้อมูลข่าวสาร ปราบปรามการปล่อยข่าวเท็จ และเสริมความร่วมมือด้านการบริหารดิจิทัล ปกป้องข้อมูลดิจิทัล สร้างโอกาสทางธุรกิจ แสดงบทบาทให้แก่การค้าและเศรษฐกิจในภูมิภาคได้มากยิ่งขึ้น
ผู้ว่าแบงก์ชาติไต้หวันฟันธง สหรัฐฯ ยังต้องพึ่งสินค้าไต้หวัน ไม่บอยคอตไต้หวันแน่ พร้อมแนะซื้อสินค้าสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ลดดุลการค้า
นายหยางจินหลง ผู้ว่าการแบงก์ชาติไต้หวัน ได้กล่าวตอบกระทู้ถามของ สส. ในสภาฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกี่ยวกับกรณีที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ คือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในเดือนมกราคม ปีหน้า ซึ่งนายทรัมป์ฯ ได้เคยย้ำว่า “สหรัฐฯ มาก่อน” หรือ “อเมริกัน เฟิร์สท” โดยที่ไต้หวันได้เปรียบดุลการค้าต่อสหรัฐฯ ปีละกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นที่วิตกกังวลกันว่า สหรัฐฯ จะบอยคอตทางเศรษฐกิจหรือใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าต่อไต้หวันหรือไม่ โดยเขาได้ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการสินค้ายุทธศาสตร์จากไต้หวัน จึงไม่น่าที่จะมีมาตรการตอบโต้ทางการค้าหรือบอยคอตไต้หวันใด ๆ เกิดขึ้น
นายหยางจินหลง ผู้ว่าแบงก์ชาติไต้หวัน ระบุว่า สินค้ายุทธศาสตร์ที่กล่าวถึงก็คือ แผ่นชิป สินค้าอุปกรณ์การสื่อสารหรือไอที มันมีความพิเศษมาก และเป็นสินค้ายุทธศาสตร์ด้วย ซึ่งหมายความว่า หากมองจากในแง่มุมทางการค้าระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ แล้ว ความจริงการร่วมมือระหว่างสองประเทศเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เป็นเรื่องดีมาก เพราะความจริง สหรัฐฯ เป็นคนออกแบบ ส่วนไต้หวันเป็นคนผลิต ซึ่งไต้หวันมีความทันสมัยในเทคนิคการผลิตมากทีเดียว
ผู้ว่าแบงก์ชาติระบุเพิ่มเติมอีกว่า พรรคการเมืองทั้งสองพรรคของสหรัฐฯ มีท่าทีที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อจีน แม้นโยบายต่อไต้หวันจะไม่เหมือนกันนัก แต่ก็ต่างกันไม่มาก ส่วนที่ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศเกี่ยวกับ “ค่าคุ้มครอง” หรือการบอยคอตทางการค้าต่อไต้หวัน น่าจะเป็นเพียงแค่การหาเสียงเท่านั้น
นายหยางฯ เห็นว่า ทรัมป์ฯ เริ่มสงครามการค้ากับจีนในสมัยแรกของเขา ทำให้ไต้หวันได้รับประโยชน์ ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการควบคุมราคาสินค้าภายใน ตลอดจนการค้ากับต่างประเทศก็ดีมากทีเดียว แต่นายหยางฯ ก็เห็นว่า ทรัมป์ฯ 2.0 กำลังจะมาถึง แต่จะเหมือนกับตอน 1.0 หรือไม่ ตนก็ไม่แน่ใจนัก แต่แบงก์ชาติจะกำหนดนโยบายการเงินที่มีความระมัดระวังให้มากขึ้น รวมทั้งเตรียมมาตรการรับมือทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการค้าต่างประเทศไว้ให้พร้อม
ทั้งนี้ นายหยางจินหลง ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลดแรงกระแทกจากการขึ้นสู่อำนาจของโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ ทรัมป์ฯ 2.0 ในเดือน ม.ค. ปีหน้า ว่า ไต้หวันต้องเร่งวางนโยบายในการลดภาวะการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้มากขึ้น อาทิ จัดซื้อพลังงาน สินค้าเกษตร และอาวุธจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ส่วนการไปขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ของ TSMC ก็จะมีส่วนสำคัญที่จะลดแรงกระแทกลงได้ไม่น้อยทีเดียว