ไต้หวันเร่งแก้กฎหมายดึงดูดทุนต่างชาติ จัดทำความตกลงป้องกันเก็บภาษีซ้อนกับสหรัฐฯ
นายกัวจื้อฮุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการไต้หวัน ได้นำคณะเยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง และข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองที่มีสำนักงานผู้แทนไต้หวัน ประจำสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพ ซึ่งนายกัวระบุว่า คณะเยือนสหรัฐฯ ของไต้หวันประกอบขึ้นจากผู้ประกอบการห่วงโซ่อุปทานไต้หวัน วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม เพื่อสำรวจตลาด ช่วยเหลือผู้ประกอบการขยายตลาด อย่างไรก็ดี การขยายตลาดในต่างประเทศของผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงต้นทุนด้วย และภาระด้านภาษีด้วย ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายสหรัฐฯ เร่งกระบวนการทางนิติบัญญัติเกี่ยวกับการพิจารณาความตกลงป้องกันการเก็บภาษีซ้อน หรือ ADTA โดยเร็ว
นายกัวจื้อฮุย รัฐมนตรีเศรษฐการไต้หวัน นำคณะตัวแทนไต้หวันเข้าร่วมการสัมมนาดึงดูดการลงทุนของสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า SelectUSA Investment Summit
นอกจากนี้ นายกัวฯ ยังได้กล่าวถึงการลงทุนในสหรัฐฯ ของยักษ์ใหญ่เซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน TSMC ก็ทำให้คลัสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ทั้งห่วงโซ่ไปลงทุนในสหรัฐฯ ด้วย กล่าวได้ว่า สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนสำคัญของไต้หวัน และนี่เป็นเหตุผลที่ตนเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกที่ตนได้เข้ารับตำแหน่งนี้ครบ 1 เดือน หวังว่าการเยือนสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จะมีโอกาสพบหารือกับผู้ประกอบการสำคัญ และสมาคมต่าง ๆ ของสหรัฐฯื เพื่อชี้แจงนโยบายของรัฐบาลใหม่ของไต้หวันให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ได้เข้าใจ เสริมปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ เขายังเผยว่า กระทรวงเศรษฐการไต้หวันยังมีความร่วมมือกับสถานทูตสหรัฐฯ ในไต้หวัน จัดคณะเซมิคอนดักเตอร์ คณะนวัตกรรมเยือนไต้หวัน เพื่อหาช่องทางทางด้านธุรกิจ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไต้หวันมิใช่มีเพียงภาคการผลิตที่มีความเข้มแข็งเท่านั้น แต่ก็ยังมีพลวัตด้านนวัตกรรมที่โดดเด่นอีกด้วย
นายกัวจื้อฮุย รมว. เศรษฐการ
ไต้หวัน-ไทย ขยับใกล้ชิดด้านการลงทุนอีกก้าวใหญ่
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนระหว่างไต้หวันกับไทยนั้น เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ไต้หวันกับไทยได้บรรลุข้อตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนฉบับใหม่ระหว่างกันแล้ว รวมทั้งมีการลงนามในความตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้แทนรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ลงนาม โดย ผอญ. สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย กับ ผอญ. สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ไทเป เป็นผู้ลงนาม ทำให้ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไต้หวันกับไทยมีการ “ปัดฝุ่น” ฉบับเดิมที่ใช้มานานกว่า 30 ปี มีความทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนของทั้งสองฝ่าย และสอดคล้องสถานการณ์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะมีผลให้นักลงทุนไต้หวันสนใจลงทุนในไทยมากขึ้น ในขณะที่นักลงทุนไทยก็สนใจลงทุนในไต้หวันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนด้านพลังงานทดแทน พลังงานสะอาด ที่อาจต้องการอาศัยการลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการในไต้หวันเพื่อศึกษาเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ นำไปประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันนอกจากจะมีนักลงทุนไต้หวันลงทุนในไทยมากขึ้นจากเดิมถึงนับร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ทุนไทยที่เข้ามาลงทุนในไต้หวันก็มีมูลค่านับหมื่นล้านเหรียญไต้หวัน โดยเป็นการลงทุนของบริษัท GLOBAL RENEWABLE SYNERGY COMPANY LIMITED(GRSC)ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังของไทย ถือหุ้นร้อยละ 50 โดยในครั้งนี้ลงทุนด้วยเม็ดเงินลงทุน 9,995 ล้านเหรียญไต้หวัน ในโครงการเพิ่มทุนของบริษัท CIP ของเดนมาร์ก เป็นบริษัทที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ ในแผนการพัฒนาไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งที่จางฮั่ว อาทิ งานโครงการฐานราก เคเบิ้ลใต้ทะล และการทดสอบกังหันผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นต้น
ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนฉบับใหม่มีสาระสำคัญอยู่ 5 ประการได้แก่
1. กฎระเบียบและการส่งเสริมการลงทุนที่โปร่งใส เพื่อเป็นการรับรองว่าขั้นตอนการยื่นขอการลงทุนมีความชัดเจนและโปร่งใส หากมีการบัญญัติหรือการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ควรมีการประกาศให้สาธารณชนทราบทันที
2. จัดให้มีเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจทำหน้าที่เป็นช่องทางติดต่อด้านการลงทุน โดยทั้งสองฝ่ายจะระบุเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจในการประสานงานและตอบข้อซักถามเกี่ยวกับการลงทุนของผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการลงทุนอย่างทันท่วงที
3. ในกรณีเกิดข้อพิพาททางการลงทุน รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยจัดตั้งคณะกรรมการการลงทุนร่วม เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการจัดการข้อพิพาท หลีกเลี่ยงการใช้กระบวนการจัดการข้อพิพาทที่ต้องใช้เวลายาวนาน อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขข้อพิพาทด้านการลงทุนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
4. ผู้ประกอบการไต้หวันได้รับการคุ้มครองการลงทุนทางอ้อมโดยผ่านดินแดนที่สาม ความตกลงฉบับนี้ นอกจากจะให้ความคุ้มครองการลงทุนแบบดั้งเดิมแล้ว ยังครอบคลุมถึงกรณีที่ผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายลงทุนทางอ้อมโดยผ่านดินแดนที่สามด้วย
5. รัฐบาลทั้งสองฝ่ายอาจใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อสาธารณประโยชน์ ทั้งสองฝ่ายต่างสามารถกำหนดนโยบายและมาตรการด้านสาธารณสุข การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สิทธิประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน การคุ้มครองผู้บริโภคและความมั่นคงทางระบบการเงิน เพื่อสาธารณประโยชน์
นอกจากด้านการลงทุน การค้าระหว่างไต้หวันกับไทยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาก็มีการขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลจากการผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่ของรัฐบาลประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา โดยสถิติของกรมศุลกากรไต้หวันพบว่า ในช่วงระหว่างปี 2016 - 2023 ยอดรวมมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับไต้หวันเพิ่มขึ้นจาก 9,301 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 16,240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 74.6% ส่วนยอดเงินการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นจาก 3,180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 6,990 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นถึง 119.8% ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนที่สำคัญด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนของไต้หวัน
ไต้หวันจะขาดแคลนแรงงาน 5 แสนคนในปี 2040
นายกัวจื้อฮุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการไต้หวัน ได้กล่าวในการแถลงข่าวที่วอชิงตันว่า รัฐบาลได้มีการพิจารณาประเมินเกี่ยวกับปัญหาบุคลากร้านเทคโนโลยีของไต้หวันแล้ว พบว่า เมื่อถึงปี 2040 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและภาคการผลิตอื่น ๆของไต้หวัน จะขาดแคลนบุคคลากร ซึ่งทำให้มีความต้องการทั้งบุคคลากรต่างชาติ แรงงานต่างชาติ โดยส่วนตัวเห็นว่า น่าจะมีจำนวนสูงถึง 5 แสนคน ส่วนใหญ่จะเป็ฯแรงงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตระดับสูงและภาคบริการ
ส่วนวิธีการแก้ปัญหาขาดแคลนบุคคลากรของไต้หวันนั้น นายกัวฯ บอกว่า ต้องอาศัยการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายบุคคลากร เขาเห็นว่า ควรเริ่มจากทางด้านการศึกษา ให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อในไต้หวันให้มากขึ้น ทั้งระดับปริญญาตรีและโท เมื่อจบการศึกษาแล้วก็เข้าทำงานในภาคธุรกิจของไต้หวัน ส่งกลับไปยังประเทศแม่ ทำงานในบริษัทไต้หวัน ก็จะสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนบุคคลากรในต่างประเทศได้
ไต้หวันอนุมัติเพิ่มทุนหมื่นล้านยูเอสในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ของ TSMC
คณะกรรมการพิจารณาการลงทุน กระทรวงเศรษฐการ ไต้หวัน ได้พิจารณาคำขอเพิ่มทุนของยักษ์ใหญ่เซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก TSMC ที่ขอเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น รวม 10200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวม 4 โครงการ ในจำนวนนี้เป็นการเพิ่มทุนของโรงงานที่คูมาโมโตะ ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ส่วนการเพิ่มทุนของโรงงานที่อาลิโซนา เป็นการเพิ่มทุนเป็นครั้งที่ 3