เราจะรู้ได้อย่างไรว่าภพชาติมีจริง?
ผู้ที่ไม่มีญาณระลึกชาติได้ ซึ่งหมายถึงมนุษย์ ๙๙.๙๙๙ เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แล้วไม่เป็นสิ่งที่เราควรจะสรุป หรือว่าเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ว่ามีหรือไม่มี ควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนว่าเราไม่รู้ แต่ในขณะเดียวกันความเชื่อในภพชาติก็มีเหตุผลหลายประการ เริ่มตั้งแต่พุทธพจน์หรือพุทธวจน ซึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ในเกือบทุกพระสูตรหรือว่าปรากฏบ่อยมาก ฉะนั้นในเมื่อเราเป็นพุทธมามกะแล้ว เราก็ต้องพิจารณาว่า ถ้าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้
๑. เป็นเรื่องจริง
๒. พระพุทธองค์โกหก (ขออภัยพูดตรงๆ)
๓. พระพุทธเจ้าหลง
ทีนี้ถ้าเราดูจากพระสูตร ดูจากคำสอนในพระไตรปิฎก โอกาสที่พระพุทธเจ้าโกหกไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ มันเป็นไปไม่ได้ ผิดวิสัยของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ๑. จริง ๓. พระพุทธเจ้าเชื่อว่าจริง แต่พระพุทธเจ้าหลง เราเป็นพุทธมามกะ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่หลง ฉะนั้นเราก็ให้น้ำหนักกับพุทธวจน โดยที่เรายอมรับว่า นี่ไม่ใช่การพิสูจน์ เป็นเรื่องของศรัทธา การระลึกชาติของพระอริยเจ้า ผู้ปฏิบัติดีหรือว่าผู้ทรงฌาน ก็มีตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็ต้องใช้หลักเมื่อกี้นี้ว่า
๑. เป็นเรื่องจริง
๒. ท่านโกหก
๓. ท่านหลง
จากที่ดูประวัติของครูบาอาจารย์ นี่เราคิดว่าโอกาสที่จะโกหก จะหลง นี่น้อยมาก ฉะนั้นก็เป็นน้ำหนัก
ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่น่าพิจารณาหรือว่าน่าติดตามก็คือ การเก็บหลักฐานจากเด็กทั่วโลกที่ระลึกชาติได้ ส่วนมากระหว่างอายุ ๒-๓ ขวบ ถึง ๕ ขวบ ในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย นักวิชาการก็ได้เก็บข้อมูลเรื่องนี้ แล้วก็ได้เช็คให้เป็นที่พอใจว่า ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีอะไร ได้ ๒,๐๐๐ กว่ารายแล้ว และก็ยังมีคนบางคนที่สะกดจิตแล้วก็ระลึกชาติได้ ฉะนั้นชาวพุทธเราก็จะไม่พูดด้วยความมั่นใจว่าใช่หรือไม่ใช่ ในเรื่องที่เรายังไม่เห็นเป็นประสบการณ์ตรง แต่เราเชื่อด้วยเหตุผลอย่างนี้
๑. พุทธวจน
๒. การระลึกชาติของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือผู้ทรงฌาน
๓. การระลึกชาติของเด็กทั่วโลก อายุ ๓-๕ ขวบ
๔. การระลึกชาติสำหรับผู้สะกดจิต
เพราะฉะนั้นเราอาจจะถือว่านี่เป็นคำเสนอ เป็นสมมติฐานของชาวพุทธ แต่ถ้าหากว่ามีสมมติฐานอย่างอื่น เราก็ท้าทาย อย่างเช่นเรื่องของเด็กระลึกชาติ ถ้าไม่จริงแล้วจะอธิบายอย่างไร ฉะนั้นไม่มีทางจะรู้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้เรามีความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล
พระอาจารย์ชยสาโร