1 มี.ค. 68 - ทักท้วงวิธิคิด ปิดทางกิเลส : ที่ว่าศึกษาธรรมไม่เป็นคืออย่างไร ก็คือศึกษาเพื่อยกตนข่มท่าน เพื่อกำราบผู้อื่นไม่ให้คิดแย้ง ไม่ให้ถกเถียง เอามาใช้ข่มคนอื่น หรือมิฉะนั้นก็เพื่อแสวงหาลาภสักการะ แสวงหาลาภสักการะมาสนองกามตัณหา แต่ว่าเพื่อยกตนข่มท่านมันสนองภวตัณหา ความเป็นใหญ่กว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น ไม่ได้ปรารถนาลาภสักการะ แต่ต้องการให้คนชื่นชมสรรเสริญ หรือทำให้ตัวตนมันพองโต
แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติ เราก็จะเฉลียวใจ หรือว่าเห็นกิเลสตัวใหญ่ๆ มันซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่หลงเคลิ้มคล้อยไปกับเหตุผล แม้จะสวยหรูเพราะว่ามีธรรมะมาเป็นเครื่องยืนยัน แต่ว่าก็ยังสามารถที่จะมองทะลุไปเห็นว่า ที่อ้างธรรมะนี่ มันเพื่อสนองหรือปรนเปรอกิเลส มันแยบคายมาก
แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติเมื่อไหร่ เราก็จะรู้ทัน มันไม่ใช่ช่วยทำให้เราไม่มัวแต่คิดลบอย่างเดียว หัดรู้จักมอง หรือคิดในทางบวก มันมากกว่านั้น มันทำให้รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันตัวอารมณ์ที่มันแสดงออกมาด้วยการผลักดันของกิเลส
เวลาโกรธ เวลาโลภ ก็รู้ว่ามันเป็นฝีมือของกิเลส หรือถึงแม้มองไม่เห็น ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องจัดการ จัดการด้วยความรู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ความโกรธครองใจ ไม่ปล่อยให้ความโลภครองใจ หรือรวมถึงไม่ปล่อยให้ความคิดลบคิดร้ายมันครอบงำใจ จนกระทั่งสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง นอกเหนือจากการความทุกข์ให้กับผู้อื่น
ฉะนั้น การหมั่นมองตนเป็นเรื่องสำคัญมาก หมั่นมองตน และหมั่นทักท้วง ว่าสิ่งที่เราทำคิด มันคิดดีแล้วหรือ หรือบางทีเพียงแต่รู้จักคิดสลับขั้วเท่านั้นแหละ ความทุกข์มันก็ลดไปเยอะ เปลี่ยนดินฟ้าอากาศไม่ได้ แต่ว่าเปลี่ยนมุมมองได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องลองหมั่นพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ