16 ก.ค. 68 - จากจริยธรรมสู่สัจธรรม : การที่เราจะเห็นสัจธรรมความจริงนี่ มันก็เห็นได้จากการเห็นธรรมชาติของใจว่ามันไม่ใช่เรา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเผลอ เราขาดสติ ก็ไปยึดความคิด ความหงุดหงิด อารมณ์กลับมาเป็นเรา เราโกรธ เราหงุดหงิด เราเศร้า เราเครียด เราดีใจ เราเสียใจ มันมีเราเป็นเจ้าของอารมณ์ต่างๆ แต่เมื่อเราเจริญสติถึงจุดหนึ่ง มันจะเห็นความคิดและอารมณ์นี้ไม่ใช่เรา มันแค่เกิดขึ้นในใจ อาศัยใจเป็นที่เกิด ตอนนี้แหละที่เราจะรู้แล้วว่า ความคิดไม่ใช่เรา อารมณ์ไม่ใช่เรา
ต่อไปก็จะเห็นความปวดความเมื่อยไม่ใช่เรา แต่ก่อนปวดทีไร เมื่อยทีไร ก็กูปวดกูเมื่อย แต่ตอนหลังเห็นแล้วความปวดก็อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง ความปวดไม่ใช่เรา ความเมื่อยไม่ใช่เรา แล้วสุดท้ายก็จะเห็นความทุกข์นี่ก็อันหนึ่ง ความทุกข์ไม่ใช่เรา ความทุกข์เกิดขึ้นกับกาย ความทุกข์เกิดขึ้นกับใจ แต่มันก็เป็นทุกข์กาย ถ้าเห็นแค่เป็นความทุกข์กาย ไม่ยึดว่าเป็นเรา ไม่ยึดว่าเป็นเราทุกข์ ใจมันก็ไม่ทุกข์ ส่วนใหญ่ทุกข์กายแล้วใจมันทุกข์ด้วย เพราะไม่ได้มองว่ากายมันทุกข์ แต่มองว่ากูทุกข์ กูปวด กูเมื่อย ใจก็เลยทุกข์ไปด้วย
ตรงนี้แหละที่มันทำให้เราเขยิบเข้าใกล้สัจธรรม เห็นความจริงเห็นสัจธรรมว่าไม่ใช่เรา ตอนหลังก็จะเห็นว่าแม้กระทั่งรูปก็ไม่ใช่ เราร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เรา แต่ก่อนนี่มันเป็นดุ้นเป็นก้อน แต่ตอนหลังก็เห็นว่ารูปไม่ใช่เรา เวลาเดินจงกรมไม่ใช่เราเดิน แต่มันเป็นรูปที่เดิน เวลานั่งไม่ใช่เรานั่ง แต่มันเป็นรูปที่นั่ง แต่ก่อนรูปทำอะไร กายทำอะไร ก็ไปเหมาว่ากูทำๆ หมด กูนั่ง กูเดิน กูโกรธ กูคิด แต่ตอนหลังนี่ไม่ใช่แล้ว มันเห็นว่าเป็นรูปที่นั่ง เป็นนามที่คิด
อันนี้แหละที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่าถลุง แต่ก่อนก้อนแร่มันเป็นก้อน แต่พอถลุงมันก็แยกออกมาเป็นดีบุกบ้าง เป็นทังสเตนบ้าง แต่ก่อนเราเห็นตัวเราเป็นก้อนๆ เรียกว่ากู แต่พอปฏิบัติไปๆ มันเห็นเป็นรูปเป็นนาม คือแยกก้อนนี้ออกมาเป็นรูปและนาม ที่เขาเรียกแยกรูปแยกนาม จริงๆ แล้วคือว่าแยกเป็นรูป แยกเป็นนาม หรือว่าเห็นเป็นรูป เห็นเป็นนาม มันไม่มีตัวกูแล้ว
แต่ก่อนเห็นเป็นก้อนๆ ก้อนนี้คือกู แต่พอปฏิบัติธรรมเจริญสติไป มันเห็นความจริงแล้วว่าไม่มีตัวกู มันมีแต่รูปกับนาม ก้อนที่เรียกว่ากูนี่ มันแยกออกมาเป็นรูปกับนาม นี่ที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่าถลุง ถลุงนี่ใช้กับก้อนแร่ ถลุงให้มันแยกออกมาเป็นแร่ชนิดต่างๆ แต่ก้อนที่เรียกว่ากูนี่ มันแยกออกมาได้แค่ 2 คือรูปกับนาม ตรงนี้แหละที่เราเริ่มเห็นสัจธรรมแล้ว เห็นสัจธรรมความจริงว่ามันไม่มีกู มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ ก่อนหน้านั้นก็เห็นว่ามันไม่มีกูที่เดิน มันมีแต่รูปที่เดิน มันไม่ใช่กูที่ปวด ไม่ใช่กูที่โกรธ แต่เป็นความโกรธ ความปวดที่เกิดขึ้นกับใจ เกิดขึ้นกับกาย
พยายามปฏิบัติให้เห็นตรงนี้แหละ จากจริยธรรม ฝึกจิต มันก็จะพัฒนาไปสู่การเห็นสัจธรรมความจริงของกายและใจ และถ้าทำไม่ถึงตรงนี้ ได้แต่ความสงบ มันยังไม่พอ มันต้องเกิดความสว่าง คือเห็นความจริงของกายและใจ ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีกูเป็นเจ้าของรูป ไม่มีกูเป็นเจ้าของนาม เพราะมันไม่มีกูตั้งแต่ต้นแล้ว ฉะนั้นการเจริญสติ เป็นการเชื่อมระหว่างจริยธรรมกับสัจธรรม แต่ถ้าหากว่าทำไปไม่ถึงสัจธรรม ก็แสดงว่ายังทำได้ไม่ครบถ้วน ก็ต้องทำต่อไป