ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและหลากหลายรูปแบบ ทั้งอุทกภัยยาวนาน ฝุ่นละออง PM2.5 ไฟป่า หรือแม้แต่ภัยเงียบอย่างสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำข้ามพรมแดน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคุกคามชีวิต สุขภาพ ทรัพย์สิน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนจำนวนมาก
พอดแคสต์ตอนนี้จะชวนผู้ฟังมอง "ภัยพิบัติ" ว่าไม่ใช่เพียงเหตุการณ์สุดวิสัยทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีมิติทางการเมือง การบริหารจัดการ และโครงสร้างอำนาจของรัฐ
เราจะมาพูดกันถึงประเด็นการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทย ซึ่งมีข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างเรื่องของความรู้ทางเทคโนโลยีในระบบราชการไทย ยกตัวอย่างเรื่องของปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานในหลายพื้นที่ ถึงแม้ประเทศไทยจะมีโครงสร้างข้อมูลด้านน้ำและภัยพิบัติอยู่แล้วอย่าง www.thaiwater.net ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งรวบรวมข้อมูลระดับน้ำ ปริมาณฝน และการพยากรณ์ล่วงหน้า แต่ปัญหาคือ "ผู้มีอำนาจตัดสินใจ" ในระดับท้องถิ่น หลายแห่งนั้นไม่รู้จัก เข้าไม่ถึงข้อมูล หรือไม่ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวางแผนรับมือภัยพิบัติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความล่าช้าในการอพยพของประชาชนเมื่อภัยพิบัติมาถึง
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ นั่นก็คือ ปัญหาเรื่องของฝุ่นละออง PM2.5 กับความแตกต่างเชิงพื้นที่ ยกตัวอย่างกรณีของเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร ที่มีปัญหาของเรื่องฝุ่น PM2.5 ในบริบทที่แตกต่างกัน และการผลักดันร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ซึ่งถูกกล่าวถึงในฐานะก้าวสำคัญของการยกระดับปัญหา นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการใช้เทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติและมลพิษในต่างประเทศ โดยได้ตั้งคำถามสำคัญว่า ไทยควรนำเข้าเทคโนโลยีหรือควรสร้างนวัตกรรมเอง รวมไปถึงประเด็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว (privacy) และ ความมั่นคงของข้อมูล ในการใช้เทคโนโลยีสอดส่องภัยพิบัติ
ในท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ภัยพิบัติจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถ "ลดความเสี่ยง" ในระยะยาว ผ่านการพัฒนาระบบเตือนภัย การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และการลงทุนด้านการศึกษาเพื่อสร้างความพร้อมของประชาชน
- ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย และ The Infinity