กระแสความไม่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยไทย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากมุมมองที่ว่าการรัฐประหารอาจมีผลดี นำไปสู่คำถามว่าสังคมไทยยังเชื่อในอำนาจที่เหนือกว่าประชาชนหรือไม่ ปัญหานี้ถูกเชื่อมโยงกับข่าว วัดไร่ขิง 888 ที่สะท้อนปัญหาการสะสมความมั่งคั่งของสถาบันศาสนาในสังคมเหลื่อมล้ำ ซึ่งเกิดจากแนวคิดการทำบุญกับผู้มีสถานะสูงเพื่อหวังผลบุญมาก ทำให้คนจนบริจาคให้คนรวยกว่า ยิ่งเสริมความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหลักคือ เมื่ออำนาจหรือเงินอยู่ในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา มักถูกมองว่าบริสุทธิ์และ ขาดระบบตรวจสอบที่ดี ทำให้เงินอาจถูกนำไปใช้ส่วนตัวได้ บทเรียนสำคัญคือ อำนาจใดๆ ก็ตามมีโอกาสคอร์รัปชันได้เสมอหากไม่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล เช่นเดียวกับองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกมองว่าศักดิ์สิทธิ์และถูกออกแบบให้ตรวจสอบได้น้อย สุดท้ายก็พบปัญหาการใช้อำนาจที่ไม่โปร่งใสหรือไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น จุดยืนใหม่ที่ควรตั้งคือ ไม่ควรไว้วางใจอำนาจใดเท่าเทียมกัน ทุกอำนาจมีโอกาสคอร์รัปชัน และต้องมีกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง สังคมไทยยังมีเรื่องที่เป็นทาบู เช่น ศาสนาและศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ยากต่อการตั้งคำถามซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น แม้ไทยจะยังไม่เป็น "fail state" แบบเม็กซิโก แต่รัฐบาลปัจจุบันถูกมองว่า ไม่สามารถส่งมอบนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งเพราะไม่แก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่สร้างกลไกขัดขวางการทำงาน โดยเฉพาะระบบบริหารงานบุคคลในราชการ ทำให้ฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้งผลักดันงานยาก ดังที่เห็นจากความยากลำบากของผู้ว่าฯ กทม. ในการส่งมอบนโยบายแม้ได้รับความนิยมสูง สรุปคือ ปัญหาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มอบอำนาจล้นเกินให้บางองค์กร และยืนยันว่าการมองทุกอำนาจด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจพร้อมสร้างระบบตรวจสอบที่แข็งแกร่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย