
Sign up to save your podcasts
Or


การที่เห็นสภาวะกาย จิต อารมณ์ มันแยก ๆ ออกจากกันนี้จนไม่เห็นตัวที่เชื่อมต่อกัน เห็นมันเป็นอิสระจากกัน บางครั้งก็จะเห็นอารมณ์แยกไปจากจิต ไม่เห็นจิตมีเจ้าของมีแต่อาการ ต้องการขอคำชี้แนะเพิ่มเติมในการปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโดยเปรียบเทียบกายกับจิตของเรา ที่ต้องปฏิบัติภาวนาให้แยกกัน ให้พ้นจากกันให้ได้ เหมือนกับมือที่โบกไปในอากาศ หรือพระจันทร์บนท้องฟ้ากับพระจันทร์ที่สะท้อนในผิวน้ำ โดยสามารถสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้อินทรีย์มีช่องทางคือใจเป็นที่แล่นไปสู่ใจมีสติเป็นที่แล่นไปสู่ เพื่อให้สติรักษาจิต ทำให้ใจไม่หวั่นไหวและไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจความพอใจหรือความไม่พอใจนั้น ๆ แต่ก็อาจจะทำให้เศร้าหมองไปบ้างตามอำนาจราคะ โทสะ โมหะ เห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เพราะมีกิเลสเกิดขึ้นที่จิตแล้วสติมีวิมุตติิ (ความพ้น) เป็นที่แล่นไปสู่ เห็นสภาวะกาย จิต อารมณ์ แยกออกจากกันหรือเป็นอิสระจากกัน เช่น ผู้ที่เข้าไปรับรู้ความคิดกับความคิดเป็นคนละส่วนกัน หรือผู้ที่เข้าไปรับรู้ความเจ็บในกายกับความเจ็บในกายก็เป็นคนละส่วนกัน เป็นต้นวิมุตตินำไปสู่นิพพานได้ โดยการฝึกจิตเพิ่มเติม ฝึกตั้งสติ ทำซ้ำ ๆ ทำย้ำ ๆ โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ฝึกให้ชำนาญ ให้มีความละเอียดและรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้กิเลสกลับกำเริบ เนื่องด้วยเมื่อจิตมีสมาธิ จิตเป็นอารมณ์อันเดียวอยู่ กิเลสและนิวรณ์จะเกิดขึ้นไม่ได้ อุปกิเลสจะหายไป แต่รากหรืออวิชชายังอยู่ โดยที่เราไม่เห็นตัวมัน ไม่รับรู้อาการของมัน
ดังนั้นต้องทำให้เกิดความสมดุลระหว่างสมถะ (จิตเป็นอารมณ์อันเดียว) และวิปัสสนา (เห็นตามความเป็นจริง) มองเห็นทุกข์เป็นของไม่เที่ยง มองเห็นความเป็นอนัตตา สามารถปล่อยวางความยึดถือในจิตนั้นว่าเป็นตัวเรา ของเราลงได้ด้วยกำลังของสมาธิ จนเกิดความนิ่งและทำให้กายกับความคิดแยกออกจากกัน จนทำให้ความมีอยู่เป็นอยู่ของจิตดับลงเป็นความดับเย็นที่เรียกว่า ”นิพพาน”
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
By ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana5
11 ratings
การที่เห็นสภาวะกาย จิต อารมณ์ มันแยก ๆ ออกจากกันนี้จนไม่เห็นตัวที่เชื่อมต่อกัน เห็นมันเป็นอิสระจากกัน บางครั้งก็จะเห็นอารมณ์แยกไปจากจิต ไม่เห็นจิตมีเจ้าของมีแต่อาการ ต้องการขอคำชี้แนะเพิ่มเติมในการปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโดยเปรียบเทียบกายกับจิตของเรา ที่ต้องปฏิบัติภาวนาให้แยกกัน ให้พ้นจากกันให้ได้ เหมือนกับมือที่โบกไปในอากาศ หรือพระจันทร์บนท้องฟ้ากับพระจันทร์ที่สะท้อนในผิวน้ำ โดยสามารถสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้อินทรีย์มีช่องทางคือใจเป็นที่แล่นไปสู่ใจมีสติเป็นที่แล่นไปสู่ เพื่อให้สติรักษาจิต ทำให้ใจไม่หวั่นไหวและไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจความพอใจหรือความไม่พอใจนั้น ๆ แต่ก็อาจจะทำให้เศร้าหมองไปบ้างตามอำนาจราคะ โทสะ โมหะ เห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เพราะมีกิเลสเกิดขึ้นที่จิตแล้วสติมีวิมุตติิ (ความพ้น) เป็นที่แล่นไปสู่ เห็นสภาวะกาย จิต อารมณ์ แยกออกจากกันหรือเป็นอิสระจากกัน เช่น ผู้ที่เข้าไปรับรู้ความคิดกับความคิดเป็นคนละส่วนกัน หรือผู้ที่เข้าไปรับรู้ความเจ็บในกายกับความเจ็บในกายก็เป็นคนละส่วนกัน เป็นต้นวิมุตตินำไปสู่นิพพานได้ โดยการฝึกจิตเพิ่มเติม ฝึกตั้งสติ ทำซ้ำ ๆ ทำย้ำ ๆ โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ฝึกให้ชำนาญ ให้มีความละเอียดและรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้กิเลสกลับกำเริบ เนื่องด้วยเมื่อจิตมีสมาธิ จิตเป็นอารมณ์อันเดียวอยู่ กิเลสและนิวรณ์จะเกิดขึ้นไม่ได้ อุปกิเลสจะหายไป แต่รากหรืออวิชชายังอยู่ โดยที่เราไม่เห็นตัวมัน ไม่รับรู้อาการของมัน
ดังนั้นต้องทำให้เกิดความสมดุลระหว่างสมถะ (จิตเป็นอารมณ์อันเดียว) และวิปัสสนา (เห็นตามความเป็นจริง) มองเห็นทุกข์เป็นของไม่เที่ยง มองเห็นความเป็นอนัตตา สามารถปล่อยวางความยึดถือในจิตนั้นว่าเป็นตัวเรา ของเราลงได้ด้วยกำลังของสมาธิ จนเกิดความนิ่งและทำให้กายกับความคิดแยกออกจากกัน จนทำให้ความมีอยู่เป็นอยู่ของจิตดับลงเป็นความดับเย็นที่เรียกว่า ”นิพพาน”
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

80 Listeners

3 Listeners

2 Listeners

5 Listeners

3 Listeners

3 Listeners

2 Listeners

7 Listeners

64 Listeners

5 Listeners

8 Listeners

6 Listeners

18 Listeners

2 Listeners

1 Listeners

1 Listeners

0 Listeners

0 Listeners