ธรรมดีรุ่งโรจน์สัญจร ครั้งที่ 19 คอร์สอานาปานสติ ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พอจ.สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบุปผารามวรวิหารจิตผู้รู้ที่รู้ลมที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ เป็นตัวที่จะเดินไปมรรค ไปผล ไปนิพพาน จะเดินห่างจากอบายไปเรื่อยๆขณะจิตนั้น จะต้องรู้ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ต้องรู้ที่กาย ที่ใจ พระพุทธเจ้าเรียก สติปัฏฐาน เพราะอวิชชาหุ้มห่อรูปนามไว้ เราจึงต้องตีเข้าไปถึงรูปนามกายใจข้างใน
เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ เพราะมีอวิชชาจึงมีสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปจึงมีอายตนะ๑๒ เพราะมีอายตนะจึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาจึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาจึงมีอุปาทาน เพระามีอุปาทานจึงมีภพ เพราะมีภพจึงมีชาติ เพราะมีชาติจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาสจึงเกิดขึ้น กลไลแห่งการเกิดทุกข์ เป็นไปโดยประการฉะนี้
เพราะความสำรอกดับโดยไม่เหลือ ซึ่งความติด ความข้อง ซึ่งราคะ ซึ่งความพอใจทั้งหลายดับไป เพราะความดับไปของอวิชชาจึงสำรอกความดับโดยไม่เหลือของความติดข้อง จึงทำให้สังขารดับ เพราะสังขารดับวิญญานจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาสจึงดับ กลไกแห่งความดับของความทุกข์ทั้งสิ้นมีด้วยประการฉะนี้
เราจะเอาตัวรู้ไปศึกษา เพื่อความดับไปของอวิชชา การตั้งอยู่ของวิชชาได้อย่างไร
จิตผู้รู้ที่ตรงต่อโผฏฐัพพารมณ์ เป็นอิสระ ไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิ จึงไม่มีอวิชชา ความไม่รู้มาวุ่นวาย ก็ไม่มีกายปรุงแต่ง ไม่มีสังขาร ความปรากฏของนามรูป ผู้รู้ไม่ใส่ใจ นามรูปเป็นไปตามธรรมชาติ ผู้รู็ที่ตรงต่อโผฏฐัพพารมณ์จึงหยุดนามรูปไว้ด้วย ตัวรู้ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง ตา หู ตัวรู้ไม่สนใจเพราะรูปคือรูป นามคือนาม วิญญาณจึงดับไปด้วย ไม่ทำงาน วิญญาณที่เกิดจากการทำงานของใจไม่ทำงาน ดับไป อายตนะภายนอกจึงดับไปด้วย พออายตนะดับ ผัสสะก็เกิดไม่ได้ เวทนาจึงดับไปด้วย เมื่อความสุขทุกข์ดับไป ความข้องความติดในสุขทุกข์นั้นก็ดับไปด้วย ความอยากในสิ่งต่างๆจึงดับไปด้วย นั่นคือตัณหาดับ ความยึดถือต่างๆ ณ ขณะจิตนั้นจึงดับไปด้วย พออุปาทานคือความยึดดับ ภพจึงดับไปด้วย เพราะเมื่อที่ยึดกระชากดับไป ที่อยู่สำหรับสัตว์จึงไม่มี ภพจึงไม่ปรากฏ พอภพดับ ตัวเกิดก็ไม่ปรากฏ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส ความทุกข์ต่างๆ จึงหยุด นี่คือกลไกของการดับทุกข์ตัวหนึ่ง เกิดขึ้นในขณะจิตเดียว คราใดที่เรารู้ลมที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ ทุกครั้งที่เราไปจัดการตัวรู้ เพื่อให้รู้ลมที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ แล้วมีการบีบคั้นจากความเป็นเราเข้าไปเมื่อใด กงของปฏิจจสมุปบาท ทำงานในขณะจิตนั้นทันที หนึ่งขณะจิตที่กงล้อทำงาน ก็จะเป็นกรรม ตกตะกอนเป็นวิบาก สืบต่อไปเรื่อยๆ เกิดตาย เกิดตาย เกิดตาย ในหนึ่งขณะจิต จึงเป็นหนึ่งภพชาติ ในวันหนึ่งจึงเกิดตายไม่รู้กี่ภพชาติ ทุกอย่างจะหยุดลงทันที เมื่อผู้รู้ รู้ตรงต่อลมโผฏฐัพพารมณ์อย่างเป็นอิสระ เป็นกลาง ไม่ถูกแทรกแซงด้วยความคิด
ขณะจิตที่หักกงของปฏิจจสมุปบาท สืบเนื่องต่อไปจนถาวร ภพชาติจึงไม่มี เยื่อใยที่เป็นตัณหาลากไปสู่อุปาทาน(ความยึด)ก็ไม่มี ตัวรู้ที่ตรงต่อลมโผฏฐัพพารมณ์อย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นความตั้งมั่น บริสุทธิ์ เป็นอิสระ จะหยุดกงของปฏิจจสมุปบาท สิ่งนี้จึงเป็นเอกายนมรรค ที่ตรงต่อมรรค ผล นิพพานปฏิจจสมุปบาท คือ อริยสัจ๔ โดยละเอียด มีสายเกิดทุกข์ (ทุกข์ สมุทัย) และสายพ้นทุกข์ (นิโรธ มรรค)
ธรรมชาติทั้งหมด จึงมีแค่ สมุทยทวาร (สายเกิด) และ นิโรธทวาร (สายดับ)
สภาพธรรมในอานาปานสติจึงเป็นการเรียนรู้ขันธ์ ๕ ผ่านลมหายใจ
อานาปานสติขั้น๑-๔ เรียนรู้เรื่องรูปขันธ์ ขั้นที่๕-๑๖ เรียนรู้เรื่องนามขันธ์
สภาวธรรมที่ปรากฏในการเดินอานาปานสติ คือ ขันธ์๕ ทุกๆสภาวะมีความเป็นจริง คือเกิดขึ้น ดับไป โดยอาศัยตัวรู้ที่มีความตั้งมั่น โดยอาศัยอุเบกขาเป็นฐาน
ศีลจะบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง เมื่อสภาพรู้เกิดขึ้น ในขณะจิตเดียว
ความตั้งมั่นที่เป็นสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ เพราะไม่มีการแทรกแซง ปรุงแต่งของสิ่งใดๆ
ปัญญา คือ ความรู้จริง ความรู้ที่เข้าถึงตามความเป็นจริง
แค่รู้ ลมที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ ตัวรู้บังเกิดมีความตั้งมั่น มีอุเบกขาเข้าไปเป็นฐาน
เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เพราะความบริสุทธิ์แห่งรู้
มรรคมีองค์๘ ตั้งขึ้นที่สัมมาสมาธิ
เราควรเชื่อสภาวะที่ปรากฏ แล้วมีความรู้ของพระพุทธเจ้ามารองรับ อินทรีย์จะประชุมลง #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ