เมื่อเข้าใจฟังดังนี้ ธาตุที่เขาตั้งอยู่แล้ว
น่ะ ธาตุน่ะแบ่งออกไปเป็น ๒ มีธาตุอย่างหนึ่ง ธาตุแบ่งออกไปเป็น ๒ เป็น
"สังขตธาตุ"
"อสังขตธาตุ"
ถ้าธาตุแบ่งออกเป็นสอง
ธรรมล่ะ ก็แบ่งออกเป็น ๒ เหมือนกัน
"สังขตธรรม"
"อสังขตธรรม"
แบบเดียวกัน เรียกว่า "สังขตธาตุ สังขตธรรม" "อสังขตธาตุ อสังขตธรรม"
ไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังมี "วิราคธาตุ วิราคธรรม" อีก ที่ท่านยกตำรับตำรา
ไว้ว่า สงฺขตา วา อสงฺขตา วา วิราโค เต สํอกฺขมกฺขายติ
สังขตธาตุสังขตธรรม ก็ดี "อสังขตธาตุอสังขตธรรม ก็ดี ไม่ประเสริฐ
เลิศเท่า "วิราคธาตุวิราคธรรม" วิราคธาตุวิราคธรรมประเสริฐเลิศกว่าสังขต
ธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้น นั่นต้องรู้ชัดลงไปอย่างนี้
สังขตธาตุ สังขตธรรม น่ะ เป็นอย่างไร? นี่แหละที่เราอาศัยอยู่นี่
แหละ ตัวสังขตธาตุสังขตธรรมทั้งนั้น อยู่กับธรรมในกายมนุษย์ นี่ก็เป็นสังขต
ธรรมอยู่กับธาตุมนุษย์ นี่ก็เป็นสังขตธาตุ ธาตุธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งได้บังคับ
บัญชาได้ เป็นสังขตธาตุสังขตธรรม
ถ้าอสังขตธาตุอสังขตธรรมล่ะอยู่ที่ไหน? อสังขตธาตุอสังขตธรรมตั้ง
แต่ธรรมกายขึ้นไป
ธรรมกายที่เป็นโคตรภูทั้งหยาบทั้งละเอียด
ธรรมกายที่เป็นโสดาทั้งหยาบทั้งละเอียด
ธรรมกายสกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด
ธรรมกายอนาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด
ถ้ารวบทั้งหมดเช่นนี้ นี่ก็หมดสงสัยทีเดียว ส่วนที่เป็นธรรมกายแล้ว
เป็นอสังขตธาตุอสังขตธรรม แต่ยังไม่ใช่ "วิราคธาตุวิราคธรรม" ธาตุที่เป็น
ธรรมกาย ไม่ต้องยกธรรมกายโคตรภูออก เป็นธรรมกายใสแบบเดียวกัน ที่
เป็นธรรมกายทั้งหยาบทั้งละเอียด ธาตุธรรมที่ เป็นธรรมกายทั้งหยาบทั้ง
ละเอียด ธรรมกายหยาบธรรมกายละเอียดที่เป็นโคตรภู ธรรมกายหยาบ
ธรรมกายละเอียดที่เป็นพระโสดา
ธรรมกายหยาบธรรมกายละเอียดที่เป็นพระสกทาคา ธรรมกาย
หยาบธรรมกายละเอียด ที่เป็นพระอนาคา ยกพระอรหัตออกเสีย ทั้ง ๘ กาย
นี้เป็นอสังขตธาตุอสังขตธรรมทั้งนั้น
ธาตุเหล่านี้ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เป็นเหมือนแก้วใสสะอาดทีเดียว นี่
เป็นอสังขธาตุอสังขตธรรมทีเดียว แต่ว่ายังไม่ใช่ "วิราคธาตุวิราคธรรม"
ถ้าจะเป็นวิราคธาตุวิราคธรรมล่ะ ต้องกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้ง
ละเอียดเป็นวิราคธาตุวิราคธรรม กายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียดเป็น
วิราคธาตุวิราคธรรมทีเดียว
มีธาตุธรรมชนิดเดียวกันไม่ต่างกัน แต่ว่าละเอียด ขึ้นไปเป็นชั้น ๆ เป็น
วิราคธาตุวิราคธรรม เออ…รู้จักละ