จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป ก็คือเห็นจิตมันทำงานไป เหมือนที่เราเห็นรูปทั้งหลายมันเคลื่อนไหวไป เราไม่ได้สั่ง เราไม่ได้เลือกว่าจะเห็นรูปที่สวยงาม หรือรูปที่น่าเกลียดอะไร เราไม่ได้เลือก จิตจะรู้อารมณ์ที่พอใจ หรือรู้อารมณ์ที่ไม่พอใจ เราก็เลือกไม่ได้ ใช้หลักอย่างนี้เลย ทำญาณเห็นจิตเหมือนที่ตาเห็นรูป ตาไม่เลือกรูป จิตก็ไม่เลือกอารมณ์ แล้วเห็นรูปแล้วจะเกิดสุขหรือเกิดทุกข์ จิตก็เหมือนกันกระทบอารมณ์แล้ว จะเกิดสุขหรือเกิดทุกข์ ก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน ตามรู้ตามเห็นไป สุดท้ายก็จะเห็นทั้งกายทั้งจิตตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของที่ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย อย่างที่มองพระพุทธรูป เราเห็นพระพุทธรูปชัด แล้วจิตก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย จิตที่ดูรูปมันเริ่มเบลอๆ ไป หมดสภาพ มันไปได้ยินเสียงชัดขึ้นมา ฟังเสียงแป๊บเดียว ใจหนีไปคิด เสียงจะเบลอๆ ไปแล้ว เคยคุยกับใครสักคนหนึ่งไหม แล้วก็เขาคุยๆ อยู่ แล้วใจเราไปคิดเรื่องอื่น เราไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร เห็นไหม เพราะอะไร จิตเราไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว จิตเราไม่ได้อยู่ที่เสียง จิตเราหนีไปอยู่ที่อื่น ฉะนั้นจิตรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว แล้วมันเลือกอารมณ์ไม่ได้ด้วย จะสั่งว่าต้องเห็นรูปตลอดเวลา ต้องได้ยินเสียงตลอดเวลา อย่าคิด อะไรอย่างนี้ สั่งไม่ได้สักอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่เราดูจิตเหมือนตาเห็นรูป เราก็ดูจิตมันแสดงไตรลักษณ์ไปนั่นล่ะ เราไม่เลือกรูป ตาไม่เลือกรูป เจอรูปแล้วจะพอใจไม่พอใจ ก็สั่งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ แล้วรูปทุกอย่างที่เห็นเกิดแล้วก็ดับ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 มิถุนายน 2568