ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์พยายามวิ่งไล่ตามกฎของ Moore ที่บอกว่าจำนวนทรานซิสเตอร์บนชิปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ สองปี
แต่การจะทำแบบนั้นได้ เราต้อง “วาด” ลายวงจรให้เล็กลงเรื่อยๆ
เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการวาดลายวงจรเหล่านั้น คือ “แสง”
เป็นเวลานานมากที่โลกของเราใช้แสงความยาวคลื่น 193 นาโนเมตร ในการผลิตชิป
แต่วันหนึ่ง วิศวกรก็มาถึงทางตัน แสง 193 นาโนเมตร มัน “ใหญ่เกินไป” ที่จะวาดเส้นสายที่ละเอียดซับซ้อนของชิปยุคใหม่
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังพยายามวาดภาพพอร์ตเทรตที่มีรายละเอียดสูง โดยใช้แปรงทาสีบ้านดูสิครับ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
วิศวกรพยายามยื้อเวลาด้วยเทคนิคต่างๆ ทั้งการยิงแสงผ่านน้ำบริสุทธิ์ หรือที่เรียกว่า Immersion Lithography หรือการฉายแสงซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบ Double Patterning
แต่วิธีเหล่านี้ก็เหมือนการต่ออายุขัยให้คนแก่ที่กำลังโรยรา ท้ายที่สุด อุตสาหกรรมต้องการสิ่งใหม่
สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ “แปรง” ที่หัวเล็กกว่าเดิมมากๆ และนั่นคือที่มาของคำว่า EUV หรือ Extreme Ultraviolet Lithography แสงชนิดพิเศษที่มีความยาวคลื่นเพียง 13.5 nanometer
แต่การจะเปลี่ยนจาก 193 มาเป็น 13.5 ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนหลอดไฟ มันคือการปฏิวัติวิธีการสร้างแสงใหม่ทั้งหมด และนี่คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์วิศวกรรมที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
บริษัท ASML ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ คือผู้แบกรับความหวังนี้ พวกเขาสร้างเครื่องจักรผลิตชิปที่มีราคาสูงถึงเครื่องละ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5 พันล้านบาท
แต่หัวใจสำคัญที่ทำให้เครื่องราคามหาศาลนี้ทำงานได้ คือระบบกำเนิดแสงที่อยู่ภายใน
ในวันนี้ เราจะพาไปเจาะลึกระบบกำเนิดแสงที่เปรียบเสมือน “เวทมนตร์ทางเทคโนโลยี” เรื่องราวของการยิงเลเซอร์ใส่หยดน้ำโลหะที่ร่วงหล่น เพื่อสร้างแสงแห่งอนาคต นี่คือเรื่องราวที่จะทำให้คุณมองโทรศัพท์ในมือไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ
#ASML #EUV #Semiconductor #Technology #ChipWar #Innovation #Engineering #TechHistory #BusinessCase #Science #Physics #Microchip #AI #TechTrends #ผลิตชิป #สาระน่ารู้ #เทคโนโลยี #วิศวกรรม #ธุรกิจเทคโนโลยี #ความรู้รอบตัว #geekstory #geekforeverpodcast