
Sign up to save your podcasts
Or
“กรรม” คือ การกระทำที่เกิดจากเจตนาของจิตที่ถูกกระตุ้นผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แล้วปรุงแต่งออกไป ทาง 3 ช่องทาง คือ 1. ทางกาย เป็น กายกรรม 2. ทางวาจา เป็น วจีกรรม 3. ทางใจ เป็น มโนกรรม
ทำความเข้าใจเรื่องของ “กรรม” ผ่านพุทธพจน์ที่ว่า..
“เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น” หมายถึง เมื่อมีเหตุแล้ว ย่อมมีผล
“เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์” คำว่า “เผ่าพันธ์” หมายถึง ผลของการกระทำนั้น
“เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้” คำว่า “ที่พึ่งอาศัย” หมายถึง ลักษณะที่สะสมอยู่ในจิต หรือ “อาสวะ”
“เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม” คือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม
“เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น” คือ ได้รับผลของการกระทำนั้น
“เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล” ผลของการพิจารณา คือ เกิดปัญญา และ มีอุเบกขา
กรรม 4 อย่าง
1. กรรมดำ มีวิบากดำ - กรรมชั่ว การปรุงแต่งไปในทางเบียดเบียน ผลคือ เข้าถึงความเป็นสัตว์นรก
2. กรรมขาว มีวิบากขาว - กรรมดี ปรุงแต่งไปในทางไม่เบียดเบียน ผลคือ เข้าถึงสวรรค์
3. กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว - ปรุงแต่งไปในทางเบียดเบียนบ้างไม่เบียดเบียนบ้าง เสวยเวทนาสุขและทุกข์เจือปน เช่น พวกมนุษย์ เทพบางพวก
4. กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8
การทำที่สุดแห่งทุกข์ปรากฏขึ้นได้ เพราะการกระทำ
กรรมเรากำหนดได้จากการกระทำของเรา อยู่ที่ว่าจะตั้งเจตนาของจิตให้ปรุงแต่งไปในทางไหน ไปในทางสิ้นกรรม คือ ไม่มี ราคะ โทสะ และโมหะประกอบอยู่ในกรรม กรรมจึงอยู่ตรงที่เราเลือก เราจะอยู่เหนือกรรมได้ก็เพราะการกระทำของเราตรงนี้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
5
11 ratings
“กรรม” คือ การกระทำที่เกิดจากเจตนาของจิตที่ถูกกระตุ้นผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แล้วปรุงแต่งออกไป ทาง 3 ช่องทาง คือ 1. ทางกาย เป็น กายกรรม 2. ทางวาจา เป็น วจีกรรม 3. ทางใจ เป็น มโนกรรม
ทำความเข้าใจเรื่องของ “กรรม” ผ่านพุทธพจน์ที่ว่า..
“เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น” หมายถึง เมื่อมีเหตุแล้ว ย่อมมีผล
“เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์” คำว่า “เผ่าพันธ์” หมายถึง ผลของการกระทำนั้น
“เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้” คำว่า “ที่พึ่งอาศัย” หมายถึง ลักษณะที่สะสมอยู่ในจิต หรือ “อาสวะ”
“เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม” คือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม
“เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น” คือ ได้รับผลของการกระทำนั้น
“เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล” ผลของการพิจารณา คือ เกิดปัญญา และ มีอุเบกขา
กรรม 4 อย่าง
1. กรรมดำ มีวิบากดำ - กรรมชั่ว การปรุงแต่งไปในทางเบียดเบียน ผลคือ เข้าถึงความเป็นสัตว์นรก
2. กรรมขาว มีวิบากขาว - กรรมดี ปรุงแต่งไปในทางไม่เบียดเบียน ผลคือ เข้าถึงสวรรค์
3. กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว - ปรุงแต่งไปในทางเบียดเบียนบ้างไม่เบียดเบียนบ้าง เสวยเวทนาสุขและทุกข์เจือปน เช่น พวกมนุษย์ เทพบางพวก
4. กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8
การทำที่สุดแห่งทุกข์ปรากฏขึ้นได้ เพราะการกระทำ
กรรมเรากำหนดได้จากการกระทำของเรา อยู่ที่ว่าจะตั้งเจตนาของจิตให้ปรุงแต่งไปในทางไหน ไปในทางสิ้นกรรม คือ ไม่มี ราคะ โทสะ และโมหะประกอบอยู่ในกรรม กรรมจึงอยู่ตรงที่เราเลือก เราจะอยู่เหนือกรรมได้ก็เพราะการกระทำของเราตรงนี้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
3 Listeners
5 Listeners
2 Listeners
1 Listeners
2 Listeners
1 Listeners
14 Listeners
16 Listeners
67 Listeners
12 Listeners
17 Listeners
17 Listeners
4 Listeners
1 Listeners
5 Listeners
0 Listeners
0 Listeners
0 Listeners
1 Listeners