การเอาความรู้สึกไว้ที่กึ่งกลางสมองหรือที่อุ้งมือซ้าย ไม่มีคำบริการ ไม่มีการสร้างภาพ
กำลังความนิ่งสูงมาก และทันทีโดยไม่มีพิธีรีตรอง
ลมหายใจเข้ายาวออกยาว การรับรู้ความรู้สึกจะชัดนิ่งอยู่จุดนั้น
เมื่อลมหายใจลดลง อาณาปานสติระดับที่ 2 ถึงระดับที่ 6 ลมหายใจจะสั้นลงๆไปเรื่อยๆ
แต่พระองค์ท่านนิยามคำว่าสั้นลงเฉพาะระดับที่ 2
แท้จริงจาก 2 ไป 3 พระองค์ท่านนิยามว่า "จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวง"
จาก 3 ไป 4 "จักเป็นผู้กำหนดรู้ชัดซึ่งลมหายใจระงับ"
สภาวะเป็นผู้กำหนดรู้ชัดกายทั้งปวง สัพพะกายะ
สภาวะธรรมเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเอาความรู้สึกไว้ที่โพรงจมูก ปลายจมูก กึ่งกลางหน้าอก หรือศูนย์กลางกายบริเวณหน้าท้อง
ซึ่งปกติความรู้สึกแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวชัดอยู่เฉพาะจุดนั้น
เมื่อมาถึงสภาวะระดับที่ 3 กายทั้งปวงเสมือนหนึ่งว่าลมหายใจแทรกเข้าไปทุกอณูของเรือนกาย
เวลาหายใจเข้าจะรู้สึกเหมือนว่ากายขยายออก หายใจออกรู้สึกเหมือนกายแฟบลดลงไป
นี่คือนิยามของคำว่ากายทั้งปวง "สัพพะกายะ" รู้สึกตัวทั่วเรือนกายโดยไม่ใช่เจตจำนง
ซึ่งสภาวะนี้ต้องเป็นไปเอง
"ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงความดับของเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น"
การยึดติดในอัตลักษณ์ในตัวตน เป็นทุกข์
จงเป็นประทีปในที่มืด ชลอวงล้อการขับเคลื่อนภาวะความมีตัวตน ให้เบาบางลง
เพราะความขับเคลื่อนนั้นจะนำไปสู่
ความขัดแยังในความสัมพันธ์ล้วนแล้วเกิดแต่ความเข้มข้นของอัตลักษณ์ ความยึดติดในตัวตนทั้งนั้น